วันที่ 15 มี.ค.65 ที่ หมู่บ้านที่ติดชายแดนไทย-เมียนมา โรงเรียนบ้านยะพอ ตั้งอยู่ ในพื้นที่บ้านยะพอ (หมู่บ้านชาวไทย ชนเผ่าปกากะญอ) หมู่ที่ 5 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ ก็เป็นพี่น้องชาวปกากะญอ หรือเป็นชาวกระเหรี่ยง หมู่บ้านยะพอ มีพื้นที่ติดแม่น้ำเมย ฝั่งตรงข้าม คือสหภาพเมียนมา ประเทศเพื่อนบ้าน ของไทยเรา ซึ่งที่บ้านยะพอ แห่งนี้ มีประชากรและพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีวัฒนธรรม และความเป็นอยู่วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม โรงเรียนบ้านยะพอ มีแนวคิด ที่จะยกระดับความเป็นอยู่ ของชุมชนโดยใช้ศักยภาพสิ่งที่มีอยู่แล้ว เพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ ให้กับชุมชน โดยการคิด ที่มีแนวสร้างสรรค์ โดยการผุดไอเดีย เปลี่ยนเมนูอาหารท้องถิ่น หรืออาหารไทยเดิมๆ แบบชนเผ่า ให้เป็นอาหารสุดพรีเมี่ยม ด้วยศิลปะการตกแต่งอาหาร ให้กลายเป็นเมนู ที่ตื่นตา ตื่นใจ สุดแสนที่จะน่ารับประทาน ยกระดับอาหารพื้นถิ่นกะเหรี่ยงสู่ Premium KoCher-Bakery By-Banyaphor-School โรงเรียนบ้านยะพอ ผุดไอเดียเปลี่ยนเมนูอาหารพื้นถิ่นกะเหรี่ยงชุมชนบ้านยะพอ อำเภอพบพระจังหวัดตาก เป็นอาหารสุดพรีเมี่ยม ด้วยศิลปะการตกแต่งอาหาร ให้กลายเป็นเมนู ชวนลิ้มลองน่ารับประทาน หลายพื้นที่นำเอาอาหารพื้นถิ่น มาเป็นแรงดึงดูด ให้น่าสนใจ ด้วยหน้าตารสชาติ วัตถุดิบ ที่มีความแปลกชวนลิ้มลอง แต่หากยังขาดการรังสรรค์สร้างความโดดเด่น ด้วยเหตุนี้ ทางชุมนุม kosher Bakery บ้านยะพอ จึงได้ ผุดไอเดีย เปลี่ยนเมนูอาหารพื้นถิ่น ให้เป็นอาหารสุดพรีเมี่ยม ด้วยศิลปะการตกแต่งอาหาร ให้กลายเป็นเมนู สุดเด็ด และสูตรเด็ด เห็นแล้วน้ำลายไหล น.ส.ปราณี ใจคำ “ครูปราณี” เป็นคุณครูผู้สอนในรายวิชาอาหารและที่ปรึกษาชุมนุม KoCher-Bakery โดยครูได้ เล่าถึง อาหารที่เป็นซิกเนเจอร์ ของทางโรงเรียน และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคก็คือ Samosa ซาโมซ่า ของว่างเป็นที่รู้จักทั่วไปในหลายประเทศ อาทิ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังกลาเทศ โดยทั่วไปซาโมซ่า จะมีลักษณะเป็นแป้งทอดกรอบทรงสามเหลี่ยม ทางด้าน ดร.สุวิชชาภรณ์ ชนิลกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านยะพอ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชุมชนบ้านยะพอเป็นชุมชนที่มีวิถีวัฒนธรรม ของชาวกะเหรี่ยงปกากะญอ ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย การแต่งกาย รวมถึงอาหารการกิน แต่เนื่องด้วยปัจจุบันในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนนิยมรับประทานอาหารที่ออกแนวฟิวชั่น แปลกใหม่แต่ยังคงกลิ่นอายวิถีแบบดั้งเดิมอยู่ จึงได้เกิดแนวคิดในการการผสมผสานความดั้งเดิมและความเป็นสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแท้จริง ภายในมีไส้เค็มที่ทำจากผัก อาทิ มันฝรั่ง หัวหอม ผักชี และถั่วลันเตา นอกจากไส้ผักแล้ว ซาโมซ่ายังมีแบบไส้ชีสและเนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะซาโมซาไส้เนื้อ อีกทั้งเป็นขนมที่นิยมอย่างมากในประเทศพม่า และเป็นอาหารพื้นถิ่นของชาวกะเหรี่ยงแถบนี้ Samosa...อาหารพื้นถิ่น ที่ใครได้ลิ้มลองแล้วจะติดใจ ซาโมซ่า 15 ไส้ @Ko'cher Bakery by Banyaphor school ที่ต้องการเข้าถึงและตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ปรับเปลี่ยนสิ่งเดิม ๆเพิ่มเติมสิ่งใหม่ ๆ ตอนนี้เรามีซาโมซ่า แบบอาหารว่างสำเร็จรูปแช่แข็ง เรามาเปิดใจลองชิมของว่างแสนอร่อย ไม่ต้องเสียเวลาหาที่ไหน แถมยังมีไส้ให้เลือกอย่างจุใจ หิวเมื่อไหร่ นำออกจากช่องฟรีส ทอดทานได้เลย ร้อน ๆ กรอบ ๆ อร่อยสุด ๆ …ซาโมซ่า ชุมนุมKoCher-Bakery By-Banyaphor-School ของโรงเรียนบ้านยะพอ เป็นหนึ่งในกิจกรรมการสร้างนวัตกรรมของโรงเรียนบ้านยะพอ ซึ่งได้รับรางวัลเหรียญทอง หนึ่งโรงเรียนหนึ่งนวัตกรรม ระดับประเทศ ปี 2564 นอกจากนี้ ซาโมซ่า ยังเป็นอาหารว่างคล้ายกับ ขนมกะหรี่ปั๊บ …ทางโรงเรียนผลิตมาทั้งสิ้น 15 ไส้ มีทั้งไส้เค็มและหวาน ได้แก่ 1.หน่อไม้กุ้ง ,2.ทูน่าสลัด ,3.กะหรี่ไก่ ,4.เห็ดหอมหมูสับ ,5.หมูสับไข่เค็ม ,6.สังขยาใบเตย ,7.กล้วยหอมนูเทล่า,8.หมูหยองพริกเผา ,9.แฮมชีส,10.ถั่วทองไข่เค็ม ,11.วุ้นเส้นผักรวม,12.ถั่วแดงกวน ,13.เผือกหอม, 14.มะพร้าวชาเขียว , และ 15.พิซซ่าฮาวาเอี้ยน… ตอนนี้ทางโรงรัยน ยังได้เริ่มพัฒนาขนมให้สามารถเก็บได้นาน โดยบรรจุในแพ็คเกจสูญญากาศแช่แข็ง เก็บได้นานถึง 1 เดือน ผู้บริโภคสามารถนำไปทอดกับน้ำมันพืช หรือเนย ด้วยไฟแรงปานกลางและรับประทานคู่กับน้ำจิ้มอาจาด จะเพิ่มความอร่อยได้อีกด้วย .. โดยหากท่านใดสนใจ สนใจสามารถติดต่อได้ที่ โรงเรียนบ้านยะพอ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก เบอร์โทรติดต่อ 086-0723447 และ โทร 062-2491547 ด้วยโรงเรียนบ้านยะพอ ที่อยู่แนวชายแดน ติดกับประเทศเมียนมา โดยมีแม่น้ำเมย กั้นระหว่างประเทศ มีวัฒนธรรมสองฝั่งคล้ายๆกัน จนแยกไม่ออก โรงเรียน ได้ นำอาหารพื้นบ้าน พื้นเมือง เพื่อยกระดับ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน เพิ่มมูลค่า วัฒนธรรมทางอาหารหาร พื้นบ้าน ให้มีมูลค่าเพิ่ม เป็นการเสริมสร้างรายได้ให้กับนักเรียนให้กับชุมชน เป็นกระบวนการเรียนรู้ ของเด็กนักเรียน เพื่อต่อยอด อาหารพื้นบ้านที่มีอยู่แล้ว เป็นการตั้งค่าเสริมรายได้ ในอนาคตของชุมชน และในอนาคตเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางอาหารต่อไป