ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
“จักรวาลนี้ไปสิ้นสุดที่ไหนหนอ” คือคำถามที่อยู่ในความฝันของวิทยามาตั้งแต่เด็ก
วิทยาเกิดมาในครอบครัวทหาร พ่อของเขามียศสูงสุดเป็นถึงพลเอกในกองทัพบก เพียงแต่ไม่ได้มีตำแหน่งบังคับบัญชา แต่ก็ได้ยศพลเอกนั้นปลอบใจในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ที่คนในวงการทหารเรียกว่า “สุสานนายทหาร” เพราะพ่อของวิทยาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของผู้กุมอำนาจในกองทัพ ที่มีรุ่นมีเหล่าเข้มแข็ง นี่เองที่พ่อของวิทยาไม่ได้เสียใจที่วิทยาไม่ได้สืบทอดอาชีพการเป็นทหาร ซึ่งก็ไม่ใช่ความฝันของวิทยาเช่นกัน
วิทยาได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี เขาได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ชั้นอนุบาล เป็นที่เด็กที่ค่อนข้างซุกซนและอยู่ไม่สุข ถึงขั้นที่ต้องพาไปหาหมอในโรงพยาบาลเด็ก ซึ่งคุณหมดได้วินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เรียกว่า “ไฮเปอร์แอคทีฟ” แปลว่า “ขยันเกิน” ต้องเอายามารับประทานเพื่อให้สงบนิ่งบ้าง ไม่งั้นก็จะไม่ยอมกินข้าวหรือรับฟังคำสั่งสอนใด ๆ ก่อนที่จะไปโรงพยาบาลนั้น เวลาจะทานข้าวต้องให้พี่เลี้ยงป้อนข้าวในรถ ที่มีทหารรับใช้เป็นพลขับ ขับวนไปตามซอยในหมู่บ้านและถนนใกล้ ๆ บ้าน เพื่อจะให้เด็กชายวิทยาทานข้าวได้ จึงทำให้รู้ว่าวิทยานั้นมีสุขภาพที่ผิดปกติ และต้องได้รับการรักษาดังกล่าว
ตอนที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาลนี่เองที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าวิทยาเป็น “เด็กพิเศษ” อย่างที่ภาษาแพทย์เรียกว่า “ออทิสติก” คือไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง ชอบอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียว ถ้าใครมาอยู่ใกล้ ๆ หรือพยายามจะหยิบยื่นอะไรให้ วิทยาก็จะส่งเสียงร้องแว้ด ๆ หรือร้องไห้ คุณครูบอกให้ไปเข้าโรงเรียนอื่นที่มีชั้นเรียนสำหรับเด็กพิเศษนี้ ซึ่งพอย้ายออกมาก็ได้ทำการรักษาในโรงพยาบาลไปพร้อม ๆ กัน โชคดีที่วิทยาเป็นออทิสติกแบบที่ปรับรักษาได้ ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่ 3 ปี จนกระทั่งเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาในระบบปกติกับเด็ก ๆ คนอื่นได้ กระนั้นก็ยังมีอาการไม่ปกติเท่าใดนัก เพราะวิทยามักจะมีอาการหวาดผวาอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ยังดีที่ไม่แสดงออกในทางก้าวร้าวหรือใช้กำลังรุนแรง ซึ่งจะเป็นอันตรายกับเด็กคนอื่น กระนั้นก็ยังดูน่ากลัวในบางเวลา เช่นเมื่อได้ของเล่นหรือตุ๊กตาก็จะชอบแยกชิ้นส่วนหรือแขนขาออกจากกัน แต่ก็ไม่ได้ไปทำกับของเล่นของคนอื่น รวมถึงที่ชอบจับแมลงหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ มาใส่น้ำ ซึ่งที่สุดมันก็ตาย แต่วิทยาก็นั่งดูและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
พอขึ้นชั้นประถม พ่อของวิทยาสังเกตเห็นว่าวิทยาชอบของเล่นที่ใช้วิทยุบังคับ โดยเฉพาะเรือบังคับด้วยวิทยุ ที่คงเป็นเพราะได้ออกไปเล่นข้างนอกบ้าน โดยพ่อจะพาวิทยาไปสวนสาธารณะใกล้ ๆ บ้าน แล้วเล่นเรือบังคับเหล่านั้น แต่ก็ไม่ยอมเล่นกับคนอื่น คงเล่นคนเดียวตามลำพัง แต่ที่น่าทึ่งก็คือวิทยาสามารถแก้ปัญหาเวลาที่เครื่องวิทยุบังคับขัดข้องได้ง่าย ๆ เช่น เมื่อแบตเตอรี่หมด ก็ลองขัดขั้วแบตเตอรี่และตรวจดูรอยเชื่อมต่อสายไฟต่าง ๆ ก็สามารถกลับมาเล่นบังคับวิทยุนั้นต่อไปได้อีก รวมถึงชอบซ่อมจักรยานที่พ่อซื้อให้ถีบ แม้บางทีจักรยานไม่ได้เสียอะไร แต่วิทยาก็จะถอดออกมาเป็นชิ้น ๆ และประกอบเข้าไปใหม่ได้อย่างเรียบร้อย ทำให้พ่อของวิทยาทึ่งมากขึ้น รวมถึงคำถามต่าง ๆ ที่วิทยามักจะถามขึ้นเมื่อพ่อซื้ออะไรใหม่ ๆ เข้าบ้าน เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อซื้อโทรทัศน์จอแบนเข้ามาในบ้าน วิทยาก็จะไปส่องดูรอบ ๆ ตัวเครื่อง แล้วก็ถามพ่อว่า พวกคนที่เขาแสดงในทีวีเขาอยู่ตรงไหน ซึ่งพ่อก็ตอบด้วยความรู้ที่มีว่า เขามาทางคลื่นโทรทัศน์ เราเห็นบนจอนั้นก็เป็นคลื่นที่มีการส่งมาจากสถานีโทรทัศน์ แล้วเครื่องรับของเราก็รับมาได้เป็นรูปภาพเหมือนกับที่ส่งมาจากสถานีนั้น ซึ่งในอากาศที่ล้อมรอบตัวเรานั้นมีคลื่นนานาชนิดอยู่เต็มไปหมด รวมถึงคลื่นที่มาจาก “ต่างดาว” ที่อยู่ใน “จักรวาล” นอกโลกนั้นด้วย
วิทยาสนใจและเฝ้าสอบถามเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” และ “จักรวาล” อยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งพ่อก็พาวิทยาไปที่ท้องฟ้าจำลอง ตรงเอกมัย ที่กำลังมีนิทรรศการเกี่ยวกับโลกและจักรวาล รวมทั้งสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั้นด้วยอยู่พอดี ในห้องฉายดาวที่ท้องฟ้าจำลองนี้เองได้สร้างความประทับใจให้กับวิทยาเป็นอย่างมาก เขาให้พ่อพาไปดูท้องฟ้าจำลองนี้อยู่บ่อย ๆ แทบจะทุก ๆ เดือน เพราะแต่ละเดือนท้องฟ้าจำลองก็จะเปลี่ยนเรื่องที่นำมาฉายในห้องฉายดาวนั้น จนเมื่อวิทยาขึ้นชั้นประถมสี่ ที่จะต้องมีการเลือกชั้นเรียนตามความถนัดของเด็ก เป็นสายวิทยาศาสตร์และสายภาษา โดยวิทยาถูกจัดให้ไปเรียนในห้องสายภาษา จนพ่อกับแม่ของวิทยาต้องรีบไปถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะที่บ้านรู้ว่าวิทยาสนใจและเก่งในเรื่องวิทยาศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงที่โรงเรียนก็น่าจะทราบในความสนใจและความสามารถของเด็กในเรื่องนี้อยู่แล้ว ครูที่โรงเรียนก็แอบกระซิบแก้ตัวกับพ่อแม่ของวิทยาว่า มีพ่อแม่ของเด็กคนอื่น ๆ วิ่งเต้นกันมากเพื่อจะให้ได้ลูกได้เรียนในสายวิทยาศาสตร์ แต่พ่อแม่ของวิทยาไม่ได้แสดงความต้องการใด ๆ ในเรื่องนี้ พูดตรง ๆ ก็คือมาไม่ได้วิ่งเต้น เลยคิดว่าคงให้วิทยาเรียนสายใดก็ได้ ก็เลยเกิดความผิดพลาดดังกล่าว
เมื่อถึงเวลาที่จะเข้าเรียนชั้นมัธยม วิทยาสามารถสอบคัดเลือกได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังของรัฐบาล ทั้งยังได้รับการคัดเลือกให้เรียนในห้องที่มีเด็กนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษ ที่ถูกคัดเลือกจากผลการเรียนและคะแนนที่สอบที่ทำได้ โดยวิทยาได้เรียนในห้องเรียนพิเศษด้านดาราศาสตร์ ในโครงการ “โอลิมปิกดาราศาสตร์” ซึ่งพอขึ้นชั้นมัธยมปลายก็ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันในหลาย ๆ สถานที่ รวมทั้งที่ต่างประเทศ และได้รับรางวัลมาพอสมควร จนเมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย วิทยาก็ไม่ต้องไปสอบคัดเลือกเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ แต่ได้ใช้ผลการเรียนและรางวัลจากกิจกรรมที่ทำมานั้นสมัครเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เลย และสามารถจบการศึกษาด้วยคะแนนสูง ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 ซึ่งทำให้ได้รับทุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่ประเทศอังกฤษ จนจบเป็นดอกเตอร์ด้วยวัยเพียง 24 ปี
เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องทำงานใช้ทุนอยู่ที่หอดูดาวบนดอยอินทนนท์ในจังหวัดเชียงใหม่อีก 4 ปี ตามเวลาที่ได้ใช้ทุนไปเรียน ก่อนที่จะออกมาเป็นนักวิจัยด้านดาราศาสตร์ให้กับรัฐบาล และเป็นอาจารย์พิเศษสอนเกี่ยวกับฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในมหาวิทยาลับ 2-3 แห่ง ก่อนที่จะถูก “ซื้อตัว” มาทำงานกับบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ข้อมูลดาวเทียมและการสื่อสารในอวกาศ ซึ่งวิทยาเคยไปศึกษาดูงานในองค์การอวกาศของยุโรปมาช่วงเวลาหนึ่ง ในตอนที่ทำงานอยู่กับรัฐบาลนั้น ทั้งนี้เขาก็ไม่ได้ทิ้งงานสอนหนังสือ อันเป็นงานที่ทำให้เขามีความสุขมาก ๆ แม้ว่าบริษัทที่จ้างเขาอยากให้เขาทำงานแต่ที่บริษัทเพียงแห่งเดียว โดยจะให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่เขาก็ขอต่อรองกับบริษัทให้เขาได้มีเวลาออกไปสอนและทำวิจัยได้บ้าง ที่จะให้บริษัทเองได้ประโยชน์ เพราะตัวเขาก็จะมีความรู้ใหม่ ๆ และได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ซึ่งเทคโนโลยีด้านอวกาศนั้นเป็นเรื่องที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วมาก โดยเฉพาะในโลกยุคดิจิตอล ที่ความรู้ไม่ว่าในด้านใด ๆ ก็มีการพัฒนาไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด
ความจริงนั้น งานที่เขาทำให้กับบริษัทเป็นเพียงแค่ “งานอดิเรก” ที่เขาต้องทำเพื่อหาเงินเดือนมาเลี้ยงชีวิตเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาสนใจและอยากทำมากที่สุดในชีวิตก็คือการค้นคว้าเรื่อง “จักรวาล” ซึ่งชีวิตในมหาวิทยาลัยในเรื่องการสอนและวิจัยเท่านั้นที่จะทำให้เขาหาคำตอบในเรื่องนี้ได้
“จักรวาลนี้กว้างใหญ่แค่ไหนกันนะ” คือสิ่งเดียวที่เขาครุ่นคิดอยู่ทั้งชีวิต