ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
มองให้รอบด้าน ฝึกฝนทำให้ชำนาญ ความรู้ความเชี่ยวชาญก็จะค่อย ๆ สะสมและนำเอามาใช้ได้
สุกันยามีนิสัยเหมือนกันกับทิดสอน คือไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร แต่ถ้าใครมาสนทนาพูดคุยด้วยก็ยินดีโอภาปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี พร้อมกับที่สุกันยาเองก็ไม่ชอบทำตัวให้โดดเด่น ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือพูดถึงสุกันยามากนัก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทั้งทิดสอนและสุกันยาก็พอใจที่จะให้เป็นอยู่อย่างนั้น จนเมื่อสุกันยาเป็นโรคบางอย่าง ทำให้รูปร่างซูบผอมและผิวเหี่ยวย่นดำเกรียม ชาวบ้านร่ำลือว่าลักษณะอย่างนี้คือ “ปอบ” และเรียกร้องให้ขับออกจากหมู่บ้าน
ทิดสอนที่ตอนนี้คนส่วนมากเรียกว่าลุงสอนเพราะมีอายุมากขึ้นจึงพาสุกันยาออกไปจากหมู่บ้าน แต่ความจริงนั้นเขาพาไปที่โรงพยาบาลในจังหวัด เดือนกว่า ๆ ผ่านไปจึงกลับมายังหมู่บ้าน พร้อมกับสุกันยาที่ผิวพรรณหน้าตากลับมาเอิบอิ่มดังเดิม เขาเล่าให้ชาวบ้านบางคนที่มาสอบถาม ว่าสุกันยาเป็นโรคขาดสารอาหารบางอย่าง หมอในเมืองจึงให้ยาบำรุงและให้หาอาหารดี ๆ มากิน อยู่โรงพยาบาล 3 วันเขาก็พาสุกันยาออกมาขออาศัยเพื่อนที่เคยบวชด้วยกันอยู่ในบ้านเพื่อนนั้นสักพัก แล้วจึงพากันกลับมานี่ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ทั้งยังร่ำลือว่าสุกันยานี้เป็นปอบแต่ลุงสอนสามารถรักษาได้ จึงมีชาวบ้านบางคนพาคนในบ้านบ้านที่ไม่สบายมาให้ทิดสอนรักษา ทิดสอนก็พยายามชี้แจง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ เขาจึงก้มหน้าก้มตาทำท่าว่าทำการรักษานั้นไป พร้อมกับแนะนำให้ชาวบ้านรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด น้ำที่ตักจากบ่อหรือหนองน้ำก็ให้เอามาต้มเสียก่อนจึงจะดื่มได้ รวมถึงไม่ให้ทานอาหารดิบ ๆ และลดหรือเลิกสุรายาเมา รวมถึงหวยและการพนันต่าง ๆ
ลุงสอนยังแนะนำชาวบ้านให้ปลูกพืชผักสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ เอาไว้เป็นยาประจำบ้านเวลาฉุกเฉิน รวมถึงเอาไว้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคพื้น ๆ เช่น ให้ปลูกข่าตะไคร้ใบสะระแหน่และใบแมงลักไว้กินเองในบ้าน เพราะคนอีสานมักจะใช้พืชเหล่านี้ปรุงอาหารอยู่ทุกวัน ปลูกกล้วยปลูกมะพร้าวไว้ทำขนมและรับประทาน ซึ่งก็ช่วยให้ชาวบ้านมีโภชนาการดีขึ้น รวมถึงให้ปลูกต้นไม้มาก ๆ อะไรก็ได้ ถ้าในบ้านหรือในไร่นามีที่ว่าง โดยลุงสอนได้ใส่เรื่องราวว่าจะทำให้ผีบ้านผีเรือนผีป่าผีไม้พอใจ และจะนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่ทุกคน รวมถึงที่ให้ถากถางเก็บกวาดบริเวณบ้านให้สะอาด อย่าให้รกและสกปรก ด้วยเหตุผลว่าจะทำให้ผีบ้านผีเรือนไม่พอใจและจะทำให้เจ็บป่วยได้ พร้อมกับให้คนในบ้านพูดกันดี ๆ ไม่ด่าทอหรือใช้คำหยาบ รวมถึงทะเลาะเบาะแว้งและส่งเสียงดังในบ้าน เพราะจะยิ่งทำให้เทวดาหนีออกจากบ้าน ไม่ช่วยคุ้มครองและอำนวยพรให้มีความสงบสุขร่มเย็น
กุศโลบายของลุงสอนได้ผลดีอย่างยิ่ง หลายปีผ่านไปหมู่บ้านน่าอยู่สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ต้นไม้ตามถนนหนทางร่มครึ้ม พื้นดินที่เคยว่างและแห้งแล้งก็เขียวชอุ่มชุมฉ่ำ ผู้คนในบ้านแต่ละหลังก็อยู่กันอย่างสงบสุข มีความสามัคคี และเข้าวัดเข้าวาสม่ำเสมอ รักษาศีล รักษาประเพณีต่าง ๆ ด้วยดี กิตติศัพท์นี้เลื่องลือไปในหมู่บ้านอื่น ๆ อีกด้วย จนลุงสอนได้รับคำสรรเสริญว่าเป็น “ยาครู” ที่แปลว่าผู้ที่มีความรู้มากจนสามารถสอนครูบาอาจารย์คนอื่น ๆ ได้อีกด้วย ไม่เพียงแต่เรื่องในบ้านและสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่ลุงสอนเชี่ยวชาญ แต่ยังรอบรู้ไปถึงเรื่องอื่น ๆ ทั้งเรื่องการทำมาหากิน อย่างที่ภาษาคนในเมืองเรียกว่าเศรษฐกิจ และเรื่องของบ้านเมืองทั้งในและต่างประเทศ เพราะลุงสอนสนใจรับฟังข่าวสารทางวิทยุอยู่เป็นประจำ โดยมีวิทยุทรานซิสเตอร์คู่กายวางไว้ข้างตัวตลอดเวลา รวมทั้งเอาติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ซึ่งก็มีคนมาร่วมฟังกับลุงสอนอยู่ทุกวัน เพราะไม่เพียงแต่ได้รับฟังข่าวสารเหล่านั้นเท่านั้นแล้ว แต่ยังได้รับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความคิดเห็นที่น่าฟังและน่าเชื่อถือจากลุงสอนนั้นอีกด้วย
สุกันยามาเสียชีวิตในปี 2516 ที่ลุงสอนจำได้แม่น เพราะปีนั้นนอกจากลุงสอนจะเพิ่งผ่านอายุ 60 มาได้เพียงปีเศษ แต่ในกรุงเทพฯก็มีการเดินขบวนขับไล่ “3 ทรราชย์” จนนิสิตนักศึกษานั้นได้รับชัยชนะอีกด้วย ชาวบ้านมาร่วมเผาศพสุกันยาเป็นจำนวนมาก แสดงถึงความเคารพนับถือที่มีต่อ “ยาครูสอน” หรือ “พ่อใหญ่สอน” ได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้นพ่อใหญ่สอนก็ไม่ได้สบายใจนัก โดยคนที่ได้ไปคุยกับพ่อใหญ่สอนกลับมาเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังว่า พ่อใหญ่สอนมีความเป็นห่วงลูกหลานที่อยู่ในโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยมาก เพราะคนหนุ่มสาวพวกนี้ไม่เหมือนคนหนุ่มสาวในสมัยก่อน คือพวกเขาไม่ค่อยเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกับพ่อแม่และครูอาจารย์ คนพวกนี้จะเป็นปัญหากับบ้านเมือง ผู้ใหญ่สอนบอกว่าฟังจากวิทยุแล้วคิดว่า นักเรียนนิสิตนักศึกษากำลังลืมตัว คิดว่าเอาชนะทหารได้ก็สามารถจะทำอะไร ๆ ในบ้านเมืองนี้ได้
พอถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างที่พ่อใหญ่สอนทำนายไว้จริง ๆ เพราะทหารได้คืนสู่อำนาจ โดยได้ทำทารุณกรรมแก่นักศึกษาที่มาชุมนุมกันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นอย่างโหดเหี้ยม บางส่วนหนีเข้าป่า และได้ผ่านมาแถวหมู่บ้านของพ่อใหญ่สอนด้วย (ในจำนวนนั้นมีพ่อของผู้ช่วยวิจัยของผมซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้นด้วยคนหนึ่ง และเป็นคนในหมู่บ้านนั้นด้วย รายละเอียดต่าง ๆ ที่ผู้ช่วยวิจัยเล่าให้ผมฟังก็คือสิ่งที่มาจากความจำจากตัวพ่อของเขานั่นเอง) แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่ามันอยู่ใกล้ตัวจังหวัดเกินไป จึงพากันขึ้นสูงไปยังภูเขาและป่าลึกและต่อไปยังเขาค้อที่จังหวัดเพชรบูรณ์ในที่สุด ซึ่งที่เขาค้อนั้นนับว่าเป็นศูนย์บัญชาการที่ใหญ่ที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ได้ทำการสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลมาอีกหลายปี จนถึง พ.ศ. 2525 ภายหลังที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบาย “การุณยเทพ” ไม่เอาผิดผู้หลบหนีอำนาจรัฐไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ในป่า ก็ทำให้มีคนออกมามอบตัวกับทางจังหวัด แล้วให้กลับไปยังภูมิลำเนาเพื่อประกอบสัมมาอาชีพของแต่ละคนต่อไป ในชื่อที่เรียกว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย”
ชื่อเสียงของผู้ใหญ่สอนมาดังเอามาก ๆ ก็ในช่วงที่มีมูลนิธิหนึ่งของต่างประเทศมาสนับสนุนให้ผู้ใหญ่สอนเข้าร่วมในโครงการพัฒนาบางอย่าง แต่พอผู้ใหญ่สอนทำไปได้สักระยะก็รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง นั่นก็คือการพัฒนาชนบทเป็นแค่ “ละครบังหน้า” ในการที่จะช่วยเหลือประเทศที่ด้อยหรือกำลังพัฒนาให้พัฒนาชุมชนและชาวชนบทให้กินดีอยู่ดียิ่งขึ้น นัยหนึ่งก็คือ “การแสวงหาข้อมูล” ในทางลึกของประเทศต่าง ๆ เพื่อที่ประเทศเจ้าของทุนจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ ไม่เฉพาะแต่ในทางเศรษฐกิจและการค้า แต่ยังรวมถึงทางด้านการเมือง ที่ประเทศผู้ว่าจ้างสามารถล่วงรู้ว่าประชาชนสนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาล ซึ่งในบางประเทศได้ถูกบ่อนเซาะจากกลไกของเอ็นจีโอนี้ โดยประเทศผู้ว่าจ้างสามารถเข้าไปปลุกปั่นยุงยงให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาลของตนได้อีกด้วย จึงนับว่ามีความชั่วร้ายไม่น้อยกว่าสิ่งที่คอมมิวนิสต์ได้เคยกระทำนั้นเลย ที่สุดผู้ใหญ่สอนจึงเลิกทำโครงการและเปิดเผยความชั่วร้ายนั้นต่อสื่อมวลชน
ก่อนที่ผู้ใหญ่สอนจะเสียชีวิตในปี 2544 ในวัย 89 ปี เขาได้รับการแต่งตั้งจากจังหวัดให้เป็น “ปราชญ์ชาวบ้าน” ด้านการเกษตร ทั้งที่ความจริงแล้วเขามีความรู้ความสามารถกว้างขวางกว่านั้น หลายคนมองว่าเขาเป็น “ปราชญ์ชีวิต” คือรอบรู้ทุกเรื่องของชีวิต ไม่เฉพาะแต่ชีวิตของผู้คน แต่ยังรวมถึงสรรพสัตว์และสิ่งรอบตัวทั้งหลาย ซึ่งเขาไม่เพียงแต่รู้จนเข้าใจอย่างลึกซึ้งในชีวิตเหล่านั้น แต่เขายังสอนให้คนอื่นเห็น “คุณค่า” ของทุกชีวิตนั้นอีกด้วย แม้กระทั่ง “ชีวิตของสิ่งที่ไม่มีชีวิต”