"สอท."เผยผลโพล"ซีอีโอ" ชี้ขึ้นราคาค่า“ไฟฟ้า-ก๊าซ"ซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ต้องแบกต้นทุนการผลิต ทำเศรษฐกิจฟื้นตัวยาก แนะตรึง Ft รอบเดือน"พ.ค.-ส.ค." ลดผลกระทบ เมื่อวันที่ 3 มี.ค.65 นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 15 ในเดือน มี.ค.65 เรื่อง "ปรับขึ้นค่าไฟ-ก๊าซ กระทบเศรษฐกิจแค่ไหน" โดยผู้บริหาร ส.อ.ท.มองว่าการที่ภาครัฐจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซฯ ต่อเนื่องนั้น จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้ จนทำให้ผู้ประกอบการมีความจำเป็นจะต้องปรับราคาสินค้าขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้นจึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาคงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค.65 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท.ยังเสนอแนะให้ภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อประหยัดพลังงาน และหันมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและภาคธุรกิจจากค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น อันดับที่ 1 คือ การคงอัตราค่า Ft รอบเดือน พ.ค.-ส.ค.65 80.7% อันดับที่ 2 คือ มาตรการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า (Demand Response) โดยคืนผลประหยัดไฟฟ้าที่ลดได้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า 59.3% อันดับที่ 3 คือ ตรึงราคาขายปลีกก๊าซฯ ชั่วคราว 53.3% และ อันดับที่ 4 คือ มาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มในส่วนของผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการ SME เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้า, คูปองส่วนลดราคาก๊าซฯ 52.7% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมควรเตรียมรับมือผลกระทบจากค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น อันดับที่ 1 คือ ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อประหยัดพลังงาน 82.0% อันดับที่ 2 คือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน เช่น โซลาเซลส์76.0% อันดับที่ 3 คือ นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ และปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุน 64.7% อันดับที่ 4 คือ บำรุงรักษาและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร 53.3% โดยแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าและพลังงานของภาคอุตสาหกรรมในปีนี้ 77.3% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน รองลงมา 20.7% ทรงตัวเท่ากับปีก่อน และ 2.0% ใช้ลดลงจากปีก่อน นายวิรัตน์ กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าวมาจากผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด โดยผู้บริหาร 38.7% เห็นว่าค่าไฟฟ้าและพลังงานในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 10-20% ของต้นทุนการผลิต รองลงมา 25.3% เห็นว่ามีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ตามด้วย 20.7% เห็นว่ามีสัดส่วน 20-30% และที่เหลืออีก 15.37% เห็นว่ามีสัดส่วนมากกว่า 30% นอกจากนี้ ผู้บริหาร 56.7% เห็นว่าหากภาครัฐมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซฯ ต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก รองลงมา 34.7% เห็นว่าส่งผลกระทบปานกลาง และ 8.6% เห็นว่าส่งผลกระทบน้อย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซฯ ที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญอันดับ 1 คือ ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นทุนพลังงานที่อยู่ระดับสูง 87.3% อันดับที่ 2 คือ ภาระค่าครองชีพของประชาชน 82.0% อันดับที่ 3 คือ เร่งอัตราเงินเฟ้อให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 51.3% และ อันดับที่ 4 คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือหยุดชะงัก 41.3%