สำหรับ โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ เตรียมเปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 2 มีนาคมนี้ ที่ เลนนอนส์ ชั้นสูงสุด ที่มีคลังแผ่นเสียงไวนิลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเปิดให้บริการทุกวันพุธถึงวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็น ถึง 5 ทุ่ม ทั้งนี้มี สปีคอีซี่บาร์สุดชิค ที่ได้รับการออกแบบให้เหมือนสตูดิโอบันทึกเสียง พร้อมนำเสนอเมนูใหม่ทั้งหมด ที่อิงแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นแรงบันดาลใจ และนำเสนอความสนุกสนานของเพลงดิสโก้จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งทุกคนที่มาเยือนจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ก้าวแรก จนถึงชั้น 30 ที่เป็นสู่สรวงสรรค์ของคนรักดนตรีที่ถูกออกจากประตูลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้กำแพงที่ตกแต่งไปด้วยแผ่นเสียงไวนิลอันละลานตา สำหรับเมนูใหม่ของเลนนอนส์ “Lennon’s Favorites” เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ได้ถูกนำมาดัดแปลงเพื่อชูแนวคิดอันยั่งยืน ลดการเกิดหรือใช้อาหารในการตบแต่งที่ไม่จำเป็น โดยเครื่องดื่มทั้งสามประกอบไปด้วย ‘เป็นโสดทำไม’ โดย สุรพล สมบัติเจริญ ‘Woman’ โดย John Lennon และ ‘Fly Me to the Moon’ โดย Frank Sinatra โดยมี เมนูหมวดใหม่ภายใต้ชื่อ “The Sound of the Future” มีแรงบันดาลใจในการรังสรรค์เครื่องดื่มที่รักษ์โลกและผ่านกระบวนการนำเสนอหลักความคิดแบบ Zero-Waste และลดการสูญเสียอาหารโดยมากที่สุด อาทิ ‘You are the Sunshine of My Life’ โดย Stevie Wonder มีส่วนผสมเป็นโฮมเมดไซรัปจากครัวซองค์และแอปเปิ้ลอบจากครัวโรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ หรือ ‘A Mover La Colita’ โดย Wilfrido Vargas ที่ใช้กล้วยทั้งใบ และกาแฟพันธ์พิเศษจากประเทศไทยจาก Left Hand Roasters ในการหมัก และใช้เปลือกกล้วยนำมาทำเป็นผลไม้กวนอบกรอบมาตบแต่ง เช่นเดียวกับแนวคิดใหม่นี้ เลนนอนส์ยังนำเสนอเมนูพิเศษที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ขึ้นอยู่กับว่าจะมีส่วนผสมอะไรในโรงแรมที่สามารถนำมาดัดแปลงเป็นเครื่องดื่ม ณ เวลานั้น โดยเครื่องดื่มสุดพิเศษนี้ มีชื่อว่า ‘Giorgio Moroder’ ซึ่งตั้งชื่อตามนักแต่งเพลงชาวอิตาเลียนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งดิสโก้’ ผู้มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกวงการดนตรีดิสโก้ ด้วยคอนเซ็ปต์ของเครื่องดื่มที่ก่อเกิดจากส่วนผสมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน จึงเชื้อเชิญให้แขกของเลนนอนส์ได้มีส่วนร่วมในการลด food waste อีกทั้งยังสามารถเพลิดเพลินไปกับความคิดสร้างสรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการจากมิกซ์โซโลจิสต์ของเลนนอนส์ นอกจากนี้ เลนนอนส์ได้ใช้โอกาสนี้ชูเพลงสไตล์ดิสโก้สุดมันส์ ที่จะพาทุกคนเดินทางรอบโลกผ่านเสียงเพลง อย่าง Donna Summer ตัวแทน “American Disco” นมพั้นช์แสนคลาสสิคสีชมพูอันโดดเด่น Miki Matsubara เพลง “Japanese Disco” ที่มีดอกซากุระอันอ่อนหวานเป็นส่วนผสม Bappi Lahiri กับเครื่องดื่ม “Indian Disco” ที่เพิ่มความจัดจ้านด้วยมะขามและใบแกง และที่ขาดไม่ได้คือ “Thai Disco” โดย ฉันทนา กิติยพันธ์ ที่มีส่วนผสมของใบเตย สับปะรด และมะพร้าว ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลหรือสำรองที่นั่งได้ที่ โทร.02-080-0030 หรือ อีเมล์ [email protected]