ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
การดูหมอคือการรักษาจิตอย่างหนึ่ง แต่ต้องไม่หลอกลวงหรือให้ความหวังมากไป
ผู้คนที่ไปวัดชอบคุยกับทิดสอน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนติดใจก็คือ “การทายทัก” ซึ่งทิดสอนบอกว่าเขาไม่ใช่หมอดู แค่เป็นสิ่งที่เขาสังเกตเห็นได้ในตัวคนแต่ละคน เหมือนว่าเขาชอบที่ชื่นชมคนที่มีบุคลิกท่าทางดี ในขณะเดียวกันก็ตำหนิคนที่มีกิริยามารยาทที่ไม่ดีต่าง ๆ แม้แต่เด็กเล็ก ๆ เขาก็ทายทัก พอเด็กโตมาแล้วเป็นจริงอย่างที่ทิดสอนทายไว้ ก็ทำให้ชื่อเสียงของทิดสอนเป็นที่เลื่องลือ และมีผู้คนแวะเวียนมาหาเป็นจำนวนมาก ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งทิดสอนบอกว่าเขาไม่ใช่หมอดู เพียงแต่อยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีและมีความสุข
ด้วยความที่ทิดสอนเป็นคนเลือกคนที่จะทายทัก ทำให้คนที่ทิดสอนไม่คุยด้วยเจ็บใจแค้นอยู่บางคน หาว่าทิดสอนเย่อหยิ่งบ้าง หรือดูถูกเขาเหล่านั้นบ้าง รวมถึงยุวดีภรรยาของเขาที่เขาไม่เคยทายทัก หรืออย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า “ดูหมอ” ให้ แต่ยุวดีก็พยายามออดอ้อนร้องขออยู่บ่อย ๆ จนถึงขั้นบอกว่าถ้าไม่ดูหมอให้เธอจะหนีไปอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทิดสอนทายผิด เพราะได้บอกเธอว่า คนไม่สู้งานอย่างเธอนั่นหรือจะไปสมบุกสมบันที่กรุงเทพฯนั้นได้ แต่แล้ววันหนึ่งยุวดีก็หอบเสื้อผ้าใส่ถุงย่ามเดินทางไปขึ้นรถโดยสารที่ถนนใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ แล้วไปต่อรถไฟที่ในตัวเมืองขอนแก่น ทราบแต่ว่าไปกับเพื่อนหญิงอีก 2 คน
ทิดสอนเดือดร้อนใจอยู่ 2 - 3 วัน ไม่ใช่เพราะเขาห่วงใยภรรยาอะไรมากมาย เพียงแต่เสียงนินทาของชาวบ้านที่หาว่าเขานั่นแหละที่ “ไม่เอาไหน” เสียเอง จนภรรยาต้องหนีไป เพราะอยู่กันมาเป็นสิบปีแต่ไม่เห็นจะมีลูก ส่วนตัวเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากจะไปขลุกอยู่แต่ที่วัด และพยายามทำตัวเป็นหมอดูเที่ยวทำนายทายทักคนโน้นคนนี้ ซึ่งทิดสอนก็ไม่เข้าใจชาวบ้านเหล่านั้น เพราะการทำนายทายทักของเขานั้นก็เป็นเพียงการให้ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต จากสิ่งที่เขามองเห็น “ความสามารถพิเศษ” ของแต่ละคน โดยที่เขาไม่เคยรับเงินหรือเรียกร้องเอาเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว (สมัยนั้น พ.ศ. 2490 ยังใช้สตางค์แดงที่ทำด้วยทองแดงและมีรูตรงกลาง ราคา 1 สตางค์นั้นอยู่) แล้วเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้นเสีย
เขาทำเป็นไม่ได้ยินใคร ๆ นินทาอยู่ 2 ปี เขาก็ตัดสินใจเดินทางไปตามหายุวดีที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่แท้จริง เพราะแท้จริงแล้วเขาต้องการไป “เปิดหูเปิดตา” ให้ได้ไปเห็น “กรุงเทพฯเมืองฟ้า” ที่ใคร ๆ เขาพูดถึงสักที ดังนั้นพอไปถึงกรุงเทพฯ หลังจากได้ไปพักที่ใต้กุฏิของหลวงพี่ที่วัดบรมนิวาส แถวยศเส ตามที่หลวงพ่อในวัดที่บ้านแนะนำให้แล้ว เขาก็ไปเวียนหางานทำอยู่พักหนึ่ง โชคดีที่งานสมัยนั้นยังหาง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เลือกงาน แม้ว่าทิดสอนจะเรียนจบถึงชั้นมัธยมและได้เปรียญธรรมมาด้วยแล้ว แต่เขาก็ยอมที่จะทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานทำขนม ที่ใช้วุฒิแค่ประถม 4 แต่เถ้าแก่ก็คงจะสังเกตเห็นความสามารถของเขาที่สามารถคิดเลขและจัดระเบียบสิ่งต่าง ๆ ได้ดี จึงให้เขาไปเป็นผู้ช่วยเสมียนและเป็นเสมียนจริง ๆ ในเวลาไม่นาน กระนั้นในเวลาเกือบ 1 ปีที่ทำงานอยู่ในโรงงาน เขาก็ไม่ได้ออกเที่ยวติดตามหายุวดีแต่อย่างใดเลย
เวลาว่างหลังเลิกงานก่อนที่จะเข้าไปนอนที่กุฏิ(ซึ่งเขาก็ไม่ได้ช่วยหลวงพี่ทำงานแบบเด็กวัดทั้งหลาย แต่เขาก็จ่ายเงินในทำนองค่าเช่าและค่าน้ำค่าไฟให้หลวงพี่ทุกเดือน) เขามักจะไปเดินเล่นตามที่ต่าง ๆ บางครั้งก็นั่งรถรางหรือรถเมล์ไป แต่ส่วนมากเขาจะชอบเดินมากกว่า บางค่ำคืนเขาเดินไปไกลถึงกว่าสิบกิโลเมตร ใช้เวลา 3- 4 ชั่วโมงกว่าจะกลับถึงวัดตอน 3- 4 ทุ่ม บางทีในวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุด เขาจะไปที่วัดสระเกศหรือวัดภูเขาทอง แรก ๆ ก็ไปทักทายฝรั่งที่มาท่องเที่ยว เพื่อฝึกภาษาอังกฤษอย่างที่เขาเคยเรียนมาบ้างตอนที่เรียนชั้นมัธยมในโรงเรียนที่ในเมืองขอนแก่น รวมถึงที่เขาได้ซื้อตำราเรียนสนทนาอังกฤษมาจากแผงหนังสือตรงอนุสาวรีย์พระแม่ธรณีบีบมวยผมข้างสนามหลวงเมื่อตอนที่เขาได้เงินเดือนเดือนแรก เขาก็ต้องการที่จะเอาบทสนทนาที่ได้อ่านในหนังสือเล่มนั้นมาใช้กับฝรั่งจริง ๆ ฝรั่งบางคนใจดีก็ให้เงินเขาเป็นค่าทิปที่พาเที่ยวชมภูเขาทอง ส่วนมากก็ได้สักสลึงหรือ 50สตางค์ ที่เพียงพอสำหรับค่าข้าว 1 มื้อ หรือก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม แต่บางวันโชคดีเขาเคยได้เงินทิปถึง 1 หรือ 2 บาท ที่พอค่ากับข้าวได้ทั้งวันนั้นเลยทีเดียว ซึ่งงานที่เขาทำนี้เป็นที่รู้จักกันในหมู่คนที่ทำงานนี้ด้วยกันว่า “ไกด์ผี”
เขาทำงานไกด์ผีอย่างเพลิดเพลิน จนลาออกมาจากโรงงานขนมเพื่อมาเป็นไกด์ผีอย่างเต็มตัว และเขาได้ไปหัดขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถยนต์แถวถนนสามเสน ก่อนที่จะดาวน์รถญี่ปุ่นเก่า ๆ ออกมาคันหนึ่ง เพื่อได้ขับรับส่งนักท่องเที่ยวเหล่านั้น อย่างที่เรียกในยุคนั้นว่า “แท็กซี่ป้ายดำ” บางทีก็ออกไปต่างจังหวัดไกล ๆ ทำให้เขาได้เห็นเมืองโน้นเมืองนี้ นอกเหนือจากที่ได้ความรู้จากฝรั่งที่ให้เขาพาเที่ยว เกี่ยวกับบ้านเมืองของฝรั่งเหล่านั้น ที่ทำให้เขาได้มี “หูตากว้างไกล” ร่วมกับในเวลาว่างที่เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ก็ยิ่งทำให้เขาฉลาดรอบรู้มากกว่าใคร ๆ ในวัยและในอาชีพเดียวกัน
ผ่านไปหลายปี จนกรุงเทพฯได้มีงานเฉลิมฉลองกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 เขาได้เห็นบรรยากาศนั้นอย่างเต็มอิ่ม และรู้สึกว่ากรุงเทพฯเป็น “เมืองสวรรค์” จริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันการเมืองในบ้านเมืองก็วุ่นวาย เพราะในเดือนกันยายนปีนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ยึดอำนาจและขับไล่รัฐบาล รวมทั้งนายกรัฐมนตรี คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ต้องหนีออกนอกประเทศ เหตุเพราะรัฐบาลโกงเลือกตั้ง และประชาชนเดินขบวนประท้วงจนถึงขั้นบุกเข้าทำเนียบ ซึ่งในยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์นั้นน่ากลัวมาก ด้วยท่านจัดการกับคนทำผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาดรุนแรง คนที่วางเพลิงถ้าถูกจับได้ก็จะถูกประหารชีวิตลูกเดียว โดยนายกรัฐมนตรีมีอำนาจพิเศษตามกฎหมาย ที่ได้ให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะรัฐประหารและเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในตัวคนเดียวด้วยกันนั้น สั่งประหารชีวิตแทนศาลได้ ในชื่อว่า “มาตรา 17” ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2502 รวมถึงกรณีการฆ่าคนและค้าเฮโรอีน ที่พอจับได้ก็ถูกประหารชีวิตภายในเวลาไม่กี่วัน เพราะคดีเหล่านี้ต้องขึ้นศาลพิเศษที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจโดยเด็ดขาดดังกล่าวนั่นเอง
เมื่อบ้านเมืองอยู่ในยุคมืดน่ากลัว ทิดสอนก็คิดจะกลับบ้าน โดยลืมที่จะตามหายุวดีนั้นเสียสนิท ตอนนั้นเขามีผู้หญิงที่รู้จักกันอย่างสนิทสนมเป็นพิเศษอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า “สุกันยา” อายุไล่เลี่ยกันกับเขาและเคยมีครอบครัวแล้ว แต่แยกทางกับสามีและไม่มีลูกด้วยกัน เขาก็คิดว่าจะพามาให้พ่อแม่ได้รู้จัก และจะขอแต่งงานกับสุกันยา พอเขาโทรเลขไปที่บ้านอำเภอมัญจาคีรี ก็ทราบข่าวที่บ้านว่าพ่อกับแม่มาตายในเวลาใกล้ ๆ กัน ซึ่งได้จัดการเผาศพเก็บกระดูกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เขายังไม่ได้ไปกราบกระดูกของพ่อและแม่นั้น เขาก็รีบกลับไปที่บ้านอำเภอมัญจาคีรีนั่นในทันที ทำให้เขาได้ทราบว่า พ่อแม่ได้แบ่งที่นาให้เขาส่วนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ขอรับที่นาที่เป็นมรดกนั้น โดยขอแลกกับพี่สาวที่ได้ดูแลบ้านของพ่อแม่ โดยขอแบ่งที่ดินจำนวน 2 งาน ซึ่งเขาได้กลับมาอาศัยอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของชีวิต เพราะเมื่อจัดการเรื่องมรดกเสร็จแล้ว เขาก็ไปอยู่กับสุกันยาที่บ้านของเธอที่ร้อยเอ็ด อีกสิบกว่าปี ก่อนที่จะกลับมาอยู่ที่บ้านอำเภอมัญจาคีรี จนกระทั่งเสียปีชีวิต
ตอนที่กลับมาอยู่ที่บ้านอำเภอมัญจาคีรีในช่วงท้ายของชีวิตนี้เอง ที่ทำให้ทิดสอนมีชื่อเสียงว่าเป็น “ยาครู” และเป็นที่จดจำของผู้คนมาอย่างยาวนาน