ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “วิถีแห่งการมีส่วนร่วมกับการเมือง ถือเป็นวิถีสำคัญของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย การตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่อันเหมาะควรของตน ตลอดจนการใคร่ครวญต่อนิยามของอำนาจ ถือเป็นปัจจัยหลักต่อการเรียนรู้ของชีวิต ผ่านการหยั่งเห็นตีความอันถ่องแท้และลึกซึ้ง...ซึ่งในแต่ละบทตอนได้กลายเป็นหลักเกณฑ์อันสำคัญต่อธรรมชาติของการดำรงตนอันมีทิศทางที่มีค่า โดยเฉพาะภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองที่เต็มไปด้วยกลไกอันสลับซับซ้อน..” นี่คือบทเริ่มต้นแห่งต้นเค้าความคิดแห่ง”โพลิติกส์”....นิยามแห่ง...กระบวนการและวิธีการ ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของกลุ่มชน คำคำนี้มักจะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับรัฐบาล แต่กิจกรรมทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในทุกกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งรวมไปถึงใน บรรษัท แวดวงวิชาการ และในวงการศาสนา.. POLITICS:หลักรัฐศาสตร์และปรัชญาการเมืองของกรีกโบราณยุคจักรวรรดิ ปรัชญานิพนธ์ของอริสโตเติล...นักปรัชญาและผู้รู้รอบด้านชาวกรีกในยุคสมัยคลาสสิกแห่งกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปีพ.ศ.160-พ.ศ.222...เป็นศิษย์ของเพลโต...งานนิพนธ์ของเขาครอบคลุมหลายสาขาวิชาทั้ง ฟิสิกส์ ชีววิทยา สัตววิทยา อภิปรัชญา จริยศาสตร์ ตรรกศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ กวีนิพนธ์ ดนตรี การละคร จิตวิทยา ภาษาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และ การปกครอง...เขาเป็นผู้สังเคราะห์อย่างซับซ้อนในปรัชญาด้านต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายุคสมัยของเขา...และเหนือสิ่งอื่นใด..โลกตะวันตกได้รับอิทธิพลจากงานทางปัญญาของเขา...จนบังเกิดเป็นปรัชญาที่ก่อรูปแบบสู่องค์ความรู้ทางวิชาการอันหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ในทุกแขนง รวมทั้งยังเป็นหัวข้อการอภิปรายทางปรัชญาที่ร่วมสมัย.. ว่ากันว่า..โลกเมื่อครั้งอริสโตเติลมีชีวิตอยู่แตกต่างจากโลกในสมัยของเรามาก ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาพื้นฐานต่างๆ อาจจะเป็นอย่างเดียวกันกับที่ส่งผลกระทบต่อเราก็ตาม บริบทหรือสภาพแวดล้อมของประเด็นปัญหาเหล่านั้น อาจดูแปลกประหลาด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องศึกษา”POLITICS”เพื่อเทียบกับภูมิหลังของกรีก ดังที่มันเป็นในศตวรรษที่4 ก่อนคริสตกาล...คือก่อนที่ยังไม่ใช่และยังไม่ได้เป็นยุครัฐชาติ(Nation State) แต่เป็นนครรัฐ(City- State)อิสระขนาดเล็กหรือPolis… อริสโตเติลมิใช่เป็นเพียงนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ หากแต่ยังเป็นผู้ที่เราเรียกในสมัยนี้ว่า นักวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยเฉพาะ เขาเขียนหัวข้อทางด้านชีววิทยาไว้อย่างกว้างขวาง...ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่จะเริ่มศึกษา POLITICS fด้วยการพิจารณาความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ(NATURE หรือPHUSIS)ของอริสโตเติล ในทางที่มันเกี่ยวพันกับการเมือง ตามธรรมชาติ แล้วมนุษย์สร้างครอบครัว หมู่บ้านคือสิ่งที่งอกงามออกมาจากครอบครัว และPolisคือสิ่งที่งอกงามออกไปจากหมู่บ้าน..มีวลีหนึ่งที่พูดกันอย่างแพร่หลายได้เน้นย้ำถึงว่า.. “มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง(MAN IS A POLITICAL ANIMAL)นั่นคือมนุษย์ถูกธรรมชาติทำให้ต้องมีชีวิตอยู่ในPolis หรือพูดสั้นๆได้ว่า..มนุษย์เป็นสัตว์เมือง(Polis Animal)นั่นเอง...” โลกของชาวกรีกที่อริสโตเติลเชื่อนั้นประกอบด้วยนคร-รัฐอิสระ(Independent city-states)มากกว่าพันแห่ง นคร-รัฐเหล่านี้ไม่ใช่นคร-รัฐบนผืนแผนดินใหญ่ของกรีกและบนเกาะต่างๆในทะเลเอเจียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนคร-รัฐบนชายฝั่งของดินแดนที่ปัจจุบันเราเรียกว่า ตุรกี ในอิตาลี บนชายฝั่งทะเลอาเดรียติกและทะเลดำ และ ถึงขนาดไกลออกไปถึงสเปน ใกล้ๆกับกรีซรวมถึงอำนาจที่กำลังเพิ่มขึ้นของมาเซดอน(Macedon)ซึ่งกษัตริย์ของพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก...ทฤษฎีการเมืองของอริสโตเติลอาศัยความรู้อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องราวของชุมชนในมาเซดอน สิ่งต่างๆนับร้อยอย่างถูกพูดถึงใน Politics ชาวกรีกเชื่อว่าพวกเขามีบรรพชนร่วมกันและยังมีส่วนร่วมหลายๆอย่างในความเชื่อและตำนานต่างๆเกี่ยวกับพระเจ้าและวีรชนซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับขนบธรรมเนียมและประเพณีท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็ยังยินยอมให้พวกเขายอมรับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และวันเทศกาลทางศาสนาร่วมกันได้ แต่ชัดเจนว่า...สิ่งที่ช่วยนำความสำนึกในความสมานฉันท์ มาสู่พวกเขามากที่สุดคือการเป็นเจ้าของภาษาร่วมกัน... อริสโตเติลให้ความยอมรับความแตกต่างระหว่างคนกรีกและคนป่าเถื่อนเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเขาเห็นว่าเป็นการตัดสินตามอำเภอใจ เขาเชื่อว่าในขณะที่ชาวกรีกสามารถที่จะปกครองตนเองได้เท่าๆกับถูกปกครอง และเนื่องด้วยเหตุนี้ จึงถูกต้องและสมควรสำหรับเสรีภาพ...พวกคนเถื่อนขาด”ธาตุแท้ของการปกครอง”ในจิตวิญญาณ และเนื่องด้วยเหตุนั้น จึงถูกต้องและสมควรที่จะถูกปกครองในลักษณะของทาส ซึ่งหากพิจารณาตามแบบฉบับเฉพาะตัว...อริสโตเติลพบเหตุผลอย่างหนึ่งในการอ้างเช่นนี้ ในข้อสมมติฐานของวิชาชีววิทยาและวิชาภูมิศาสตร์.. “ โดยทั่วไป...ประชาชนของประเทศหนาว และโดยเฉพาะประชากรในทวีปยุโรปมีใจสู้แต่ขาดทักษะและความฉลาด...ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงค่อนข้างจะเสรีแต่ไม่มีความสามารถที่จะปกครองคนอื่น ประชาชนของทวีปเอเชียมีทักษะและความฉลาดแต่ใจไม่สู้...ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงอยู่ในสภาพของทาสต่อไป...แต่คนกรีกนั้นมีคุณลักษณะระหว่างทั้งสองฝ่าย...ดังนั้นพวกเขาจึงมีทั้งจิตใจที่สู้และความฉลาด พวกเขาสามารถชีวิตในเสรีภาพและประสบความสำเร็จในการพัฒนาการเมืองระดับสูง ถ้าเพียงแต่พวกเขามีความสามัคคีกันเท่านั้น พวกเขาก็สามารถที่จะปกครองชนชาติอื่นๆทุกชาติได้.. อริสโตเติลได้เน้นย้ำว่า การมีส่วนร่วมทุกอย่างนั้นมีเป้าหมาย...การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นมีเป้าหมายสูงสุด แต่หลักการของการมีส่วนร่วมมีรูปแบบต่างกัน และผ่านวิธีการปกครองที่ต่างกัน...นั่นแสดงถึงว่า การสังเกตจะทำให้เราเห็นเป็นข้อแรกว่า นครทุกนคร(Polis) เป็นการมีส่วนร่วมชนิดหนึ่ง ข้อสังเกตก็คือว่า การมีส่วนร่วมทุก อย่างเกิดขึ้นก็เพื่อประโยชน์บางอย่าง เพราะทุกคนล้วนกระทำทุกอย่างตามความคิดของตนว่าจะได้รับในสิ่งที่ดี ดังนั้นจึงชัดเจนว่า การมีส่วนร่วมทุกอย่างเล็งไปที่สิ่งที่ดีและชัดเจนว่า การมีส่วนร่วมพิเศษซึ่งเป็นสิ่งที่สูงสุดของทั้งหมดจะแสวงหาเป้าหมายนี้มากที่สุดและด้วยเหตุนั้นจะมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด การมีส่วนร่วมที่สูงสุดนี้คือนครหรือPolis..ดังที่มันถูกเรียกหรือการมีส่วนร่วมทางการเมือง.... เป็นความผิดพลาดที่เชื่อว่าผู้นำทางการเมืองเหมือนกันกับกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร หรือผู้จัดการของครัวเรือน หรือนายของทาสจำนวนหนึ่ง ผู้ที่มีทัศนะนี้เห็นว่า ผู้นำเหล่านี้แตกต่างกันมิใช่โดยชนิดหรือประเภท แต่ต่างกันตามจำนวน มากหรือน้อย ตามทัศนะนี้ผู้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนน้อยเป็นนายผู้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนที่มากขึ้นเป็นผู้จัดการของครัวเรือน และผู้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนที่มากขึ้นไปอีก..เป็นผู้นำทางการเมืองหรือกษัตริย์ ทัศนะนี้ไม่ยอมรับความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างครัวเรือนขนาดใหญ่ และนครขนาดเล็ก และยังลดความแตกต่างระหว่าง”ผู้นำทางการเมือง”และกษัตริย์จนเหลือข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวว่า กษัตริย์เพียงผุ้เดียวที่มีอำนาจและไม่สามารถจะถูกควบคุมได้ ส่วนผู้นำทางการเมืองใช้อำนาจตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดที่กำหนดโดยศิลปะของการเป็นผู้นำทางการเมือง และในฐานะผู้ปกครอง...ในทางกลับกันก็เป็นผู้ถูกปกครอง....แต่นี่เป็นทัศนะที่ไม่สามารถจะยอมรับได้ว่าถูกต้องได้.. สาเหตุของการขัดแย้งแบ่งฝ่ายอาจจะเล็กน้อย แต่ประเด็นนั้นใหญ่ และขยายเป็นวงกว้าง เราอาจจะกล่าวเพิ่มเติมว่าการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิบัติอาจเกิดขึ้นจาก...การเพิ่มขึ้นในความโด่งดังและอำนาจของหน่วยรัฐการบางหน่วย หรือส่วนหนึ่งของนคร และ ดุลที่เท่ากันของฝ่ายต่างๆที่ทำให้เกิดทางตัน เราอาจจะเพิ่มเติมด้วยว่าอำนาจและการโกงแสดงบทบาทของมันในการดำเนินการปฏิวัติ.. แต่ถึงแม้ว่า การขัดแย้งแบ่งฝ่ายจะเกิดจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นใหญ่โต แม้แต่การถกเถียงกันนิดหน่อยก็กลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากได้ถ้าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ...มีตัวอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของซีราคิวส์ ซึ่งเป็นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางรัฐธรรมนูญอันเป็นผลลัพธ์ ของคนหนุ่มสองคนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่และทะเลาะกันในเรื่องของความรัก ในระหว่างที่ชายหนุ่มคนหนึ่งไม่อยู่ ชายหนุ่มอีกคนได้ล่อลวงคนรักของเพื่อนให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย และชายผู้ได้รับความเสียหาก็ได้โกรธเคืองจึงแก้แค้นโดยการล่อลวงภรรยาของเพื่อนให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาดึงเมืองทั้งหมดเข้าไปร่วมกับการทะเลาะกันของพวกเขา และแบ่งมันออกเป็นฝักเป็นฝ่าย บทเรียนสอนใจนี้ มีอยู่ว่า...ควรจะมีการมองการณ์ไกลตั้งแต่เริ่มมีการทะเลาะกันเข่นนั้น และควรจะจัดการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำและมีอำนาจในทันที...เพราะความผิดพลาดมีอยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว จากสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว...สรุปได้ว่า..องค์ประกอบบางอย่างของนครควรจะถูกให้ หรือพร้อมอยู่ในมือ และที่เหลือ ควรจะถูกจัดหามาให้โดยศิลปะของผู้บัญญัติกฎหมาย ดังนั้น...เราจึงสวดวิงวอนว่าการก่อตั้งนครควรจะประสบโชคดีพร้อมกับความมั่งคั่งในเรื่องที่ความมั่งคั่งเป็นอธิปัตย์...อันหมายถึงอำนาจสูงสุด...รวมทั้งการมีปัจจัยสามอย่างที่ปัจเจกชนจะกลายเป็นคนดีและมีคุณธรรม สามอย่างนี้คือธรรมชาติ นิสัยและเหตุผล เท่าที่ธรรมชาติเกี่ยวข้อง...เหตุนี้เราต้องเริ่มต้นโดยการเป็นคนไม่ใช่สัตว์ประเภทอื่นบางประเภท...และ”คนเป็นผู้ที่มีคุณภาพที่แน่นอนทั้งของร่างกายและจิตใจด้วย ..”. นี่คือหนังสือสำคัญของโลกที่ทุกคนสมควรได้อ่าน เพื่อการตระหนักรู้ต่อกลไกทางการเมืองที่มีวิวัฒนาการอันสลับซับซ้อน มันคือประพันธกรรรมแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งจักรวาลและตัวตน..ตราบใดที่เราต่างมุ่งหวังให้ความเป็นนครดำรงอยู่โดยธรรมชาติ...มนุษย์ก็ต้องสร้างการเข้าร่วมต่อกันและกันตั้งแต่แรก..มันคือผลผลิตของศิลปะแบบมนุษย์ โดยถือเอาว่า พลเมือง ณ ที่ใด หรือเวลาใดก็ตามต้องมีขอบเขตของการกระทำที่เป็นอิสระ....เท่านั้น.. “ไม่ยุติธรรมเลยที่จะปฏิเสธการยอมรับที่เกิดจากคนที่มีคุณงามความดีอันโดดเด่น และคนเช่นนั้นก็ไม่ควรจะถูกขับไล่ไสส่ง...ด้วยเหตุใดๆ”