ณ วันนี้!! ต้องยอมรับว่า “คนไทย” ต้องรู้จักชื่อของ “ยาฟาวิพิราเวียร์” และต้องท่องจำกันให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นนี้ วันนี้ “สยามรัฐออนไลน์” ได้รวบรวมทุกข้อสงสัย ถึงการใช้ “ยาฟาวิพิราเวียร์” ไว้ให้ศึกษากัน
“ยาฟาวิพิราเวียร์” (Favipiravir) เป็นชื่อสามัญของยากลุ่ม Avigan คิดค้นโดย บริษัท Fujifilm Toyama Chemical ประเทศญี่ปุ่น โดยได้มีการอนุมัติใช้เพื่อรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2014 และเป็น ยาต้านไวรัส ที่ออกฤทธิ์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ในกลุ่มที่มีอาการ โดยใช้ยับยั้งการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่ายาชนิดอื่นๆ
“ยาฟาวิพิราเวียร์” ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญกับผู้ป่วยโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2020 ที่เริ่มมีการระบาดของเชื้อไวรัส เนื่องจาก “ยาฟาวิพิราเวียร์” มีกลไกในการยับยั้งไวรัสที่ขยายพันธุ์ด้วย “RNA polymerase” เหมือนกับไวรัสไข้หวัดใหญ่
โดยในประเทศไทย “ยาฟาวิพิราเวียร์” ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการของโรค แต่ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการ หรือใช้เพื่อป้องกันโรค ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การใช้ “ยาฟาวิพิราเวียร์” ในผู้ป่วยที่เริ่มติดเชื้อ และมีความเสียหายของปอดไม่มาก หลังใช้ยาจะช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส “SARS CoV2” ที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 จึงช่วยให้ภูมิต้านทานร่างกายสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนสามารถกำจัดไวรัสในร่างกายออกได้หมด หรือน้อยจนไม่สามารถก่อโรคได้อีก จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่สามารถลดความรุนแรงและการสูญเสียจาก COVID-19 ได้เป็นอย่างดี
สำหรับวิธีการใช้ “ยาฟาวิพิราเวียร์” กับผู้ป่วยโควิด-19 ในทางแพทย์จะพิจารณาใช้ยา ในผู้ป่วยที่มีอาการของโรค มีภาวะปอดอักเสบ ใช้รักษาเชื้อลงปอดที่มีอาการรุนแรงโดยขนาดยาที่ใช้ในการรักษา ในแต่ละกลุ่มจะมีวิธีการใช้ต่างกัน
“ผู้ใหญ่” ในวันแรกรับประทานครั้ง 9 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง และหลังจากนั้นจะรับประทานครั้งละ 4 เม็ดทุก 12 ชั่วโมง
“ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม” ขนาดในการรับประทานยาจะสูงขึ้น โดยในวันแรกจะรับประทานครั้งละ 12 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง และหลังจากนั้น ครั้งละ 5 เม็ดทุก 12 ชั่วโมง
“เด็ก” จะมีการคำนวณขนาดการใช้ยาตามน้ำหนักตัว
นอกจากนี้ยังพิจารณาให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ว่าอาจจะใช้กับผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ ในบางรายหากมีแนวโน้มที่จะป่วยหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง เช่น ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคตับ ไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน รวมถึงในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวมหรือมีภาวะลดลงของระดับออกซิเจนในเลือด ก็สามารถรับประทานยาชนิดนี้ได้เช่นกัน โดยอาจพิจารณาให้ยาเป็นเวลา 5 – 10 วันขึ้นอยู่กับอาการ
สำหรับผลข้างเคียง การใช้ “ยาฟาวิพิราเวียร์” ที่พบได้คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความพิการ หากรับประทานยาในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เมื่อรับประทานร่วมกับยาบางชนิด และยังมีผลต่อการทำงานของตับ ตับอักเสบ (แพทย์จึงไม่แนะนำให้รับประทานร่วมกับยาฟ้าทะลายโจร หรือยาที่มีผลต่อตับ) โดย “ยาฟาวิพิราเวียร์” ไม่สามารถหาซื้อเองได้ ไม่มีขายที่ร้านขายยาทั่วไป การใช้ยาต้องมีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้น
สรุปคือ “ยาฟาวิพิราเวียร์” เป็นยารักษาโควิด-19 ที่ช่วยให้ผลต่อต้านไวรัสได้ดีขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีอาการบ่งชี้ และควรใช้ภายใต้ความดูแล และดุลยพินิจของแพทย์และต้องจ่ายยาโดยแพทย์เท่านั้น ห้ามหาซื้อรับประทานเอง เพราะอาจได้ยาปลอม ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ทำให้เสียโอกาสในการรักษา และอาจได้รับอันตรายได้
