บทความพิเศษ/ ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น) เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการให้ การแบ่งปันและการบริจาคเงินยุค New Normal มีคำถามว่าเงินบริจาค เงินทำบุญ หรือจะเรียกว่าการ “อุทิศเงิน” มีคุณค่าทางเศรษฐศาสตร์เพียงใด เช่น เงินบริจาคช่วยเหลือสาธารณะต่างๆ ทำบุญ ช่วยเหลือคนยากไร้ รวมทั้ง เงินบริจาคพรรคการเมือง มาตรวจสอบว่า เงินบริจาคเงินทำบุญนี้ของสังคมไทยพอจะมีแง่มุมใดได้วิพากษ์บ้าง ปกติ “การให้ การบริจาค” ของมนุษย์จะแสวงหา “อรรถประโยชน์” (Utilities) หรือความสุขใส่ตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วัดจากมูลค่าความมั่งคั่งที่มีอยู่ (เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก) การบริจาคมีได้ 3 รูปแบบ คือ (1) การบริจาคเงิน (2) การบริจาคสิ่งของหรือ (3) การอุทิศเวลา เพื่อกิจกรรมสาธารณประโยชน์ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หรือการบริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส การตักบาตรทำสังฆทานหรือการมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงการสละเวลาช่วยเหลือสังคม งานวัด การไปเยี่ยมเยียนสถานสงเคราะห์เด็กพิการ เป็นต้น มีการบริจาคเงินผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ เรียก virtual run (แปลว่าการแข่งขันวิ่งที่ไหน เมื่อไรก็ได้) เช่น การระดมทุนบริจาคเพื่อการกุศลทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มในการระดมทุนเพื่อการกุศลต่างๆ ใช้หลักฐานไปลดหย่อนภาษีเงินได้ อาจลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า เช่น บริจาคเพื่อการศึกษาที่บริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ซึ่งสามารถบริจาคได้ทั้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถานทุกศาสนา และ องค์กรสาธารณกุศล รวมทั้งระหว่างประเทศ เช่น โครงการ UNHCR, Green Peace แต่การบริจาคสิ่งของหรือเวลาไม่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ แต่ “งานการกุศล” (charity) อาจเป็นความหวังดีที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้ เพราะองค์กรการกุศลต้องมีทั้งประสิทธิภาพด้านการเงินและมีธรรมาภิบาลดังเช่นองค์กรธุรกิจด้วยเรียก “Good Corporate Governance” (CG) ปัจจุบันมีธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) จะนำผลกำไรกลับคืนสู่สังคมตามเป้าหมาย อย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อสังคม การขอกันกิน ขอแบ่งปันจากคนมี ขอทำบุญบริจาค คนไทยไม่คิดว่าผู้รับเงินบริจาคจะโกง เพราะเป็นวัฒนธรรม "การให้ทาน การสละทรัพย์ของคนพุทธ" (donate, give, charity) เป็นจุดเด่น Soft Power หรือ "สายมู" (Mutelu) อย่างหนึ่งที่คนไทยภาคภูมิใจ มีผลศึกษาวิจัย (2555)ว่า การบริหารการเงินของวัดตู้บริจาคเงินวัดเป็นศรัทธา เป็นผลประโยชน์ที่ไม่ต้องตรวจสอบ แม้จะขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม เพราะถือว่าเป็นการทำบุญในหมวดทาน ถือเป็นสังฆทาน ที่คนไทยทั่วไปไม่คิดเล็กคิดน้อย ปัจจุบันโลกโซเชียลทำให้การระดมทุนเงินบริจาคได้จำนวนมากถึงหลักล้านง่ายขึ้น ด้วยความเต็มใจบริจาคของคนทุกชนชั้น แม้คนจนคนรวยก็มีสิทธิบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่นได้เท่าเทียมกัน คนมีเงินน้อยบริจาคน้อยเพียง 100-200 บาท ก็มีความรู้สึกภูมิใจว่าได้ “ทำบุญ” บางรายบริจาคเป็นสิ่งของ ตามโอกาสต่างๆ ในหลายๆ กรณี แม้ในยามเกิดสาธารณภัย ในรูปของ “ตู้แบ่งปัน”(ตู้ปันสุข) นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อให้คนยากไร้ หรือคนทั่วไปได้มาหยิบไปใช้บริโภค โดยมิได้หวังสิ่งใดตอบแทน เว้นแต่ความภาคภูมิใจในหัวใจ ที่เป็นนิสัยของคนไทยที่ชอบทำบุญบริจาคตามคติพุทธมาอย่างช้านาน แม้คนจนคนรวยก็มีสิทธิได้ทำบุญกันทุกคน อาจเรียกได้ว่าเงินทำบุญของคนไทยเป็นเงินของคนจนส่วนใหญ่ ที่แม้จะมีจำนวนเม็ดเงินที่น้อย กว่ามากด้วยจำนวนคนที่บริจาค เช่น ช่วงวิกฤตโควิด ช่วยต้านโควิด ฝ่าโควิด-19 (COVID-19) ก็มีการบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ โรงพยาบาล บริจาครายเดือนก็มี เป็นต้น ในทางปกครองเพื่อ “สาธารณประโยชน์” (ประโยชน์โดยรวม) นั้น มีทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ “การแบ่งปันผลประโยชน์ (Benefit Sharing)” เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแก่ประชาชนในพื้นที่ มุ่งเน้นการให้ประโยชน์ต่อชุมชนเป็นสำคัญ เป็นการชดเชยเยียวยา แก้ไขและฟื้นฟูความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและผลกระทบด้านสุขภาพ เช่น ในกิจการไฟฟ้าและเหมืองแร่ ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 มีกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าที่เน้นตอบแทนไปที่ชุมชน และ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2560 มีเงินบำรุงพิเศษ เพื่อใช้ในการพัฒนาชุมชนที่ตั้งของเหมืองแร่ แสดงให้เห็นว่า โลกต้องเน้นส่วนรวมเป็นสำคัญ เงินบริจาคราชการงุบงิบไม่โปร่งใสสังคมกังขาได้ ในการบริจาคเงิน การระดมทุนต่างๆ หรือเรียกตามกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 “การเรี่ยไร” หมายความรวมตลอดถึงการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการ ซึ่งมีการแสดงโดยตรง หรือโดยปริยาย ว่ามิใช่ เป็นการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ชดใช้หรือบริการธรรมดา แต่เพื่อรวบรวมทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดหรือบางส่วนไปใช้ในกิจการอย่างหนึ่งนั้นด้วย คำว่า “งุบงิบ” ความหมายโดยนัยยะ หมายรวมกรณีที่หน่วยเหนือชอบทำอะไรที่งุบงิบปกปิดเป็นอาจินต์เป็นนิสัยด้วย มิได้หมายความเฉพาะเอกชนคนทั่วไป ที่ไม่เกรงกลัวการตรวจสอบของสังคม หรือของเจ้าหน้าที่ หรือ ป.ป.ช. การบริจาคเงิน การเรี่ยไร หรือเรียกอย่างโก้ว่า “การขอรับการสนับสนุน” โดยราชการเป็นสิ่งปกติที่พบเห็นในราชการส่วนภูมิภาค ลงไปถึงระดับอำเภอ ตำบล ที่อาจผิดระเบียบกฎหมายทุจริตหรือ ป.ป.ช.ได้ การขอเงินแกมบังคับ เรียก “การหักคอ” หรือ “เงินหักดิบ” ก็ไม่ผิด หมายความว่ามีการกำหนดเงินขั้นต่ำในการบริจาคไว้ด้วย ซึ่งมีไม่น้อย เช่นการเรียกประชุม อปท.ด่วนจากอำเภอเพื่อระดมทุนเงินบริจาคงานใดงานหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นงานราชการ หรือ แม้งานราชการ งานการกุศล งานส่วนรวมสาธารณะก็มีการระดมทุนแกมบังคับด้วย การเรี่ยไรในกรณีต่างๆ จึงเป็นเรื่องปกติ เช่น งานกาชาด บัตรกาชาด บัตรการกุศล เป็นต้นว่า อำเภอใหญ่ 1 แสน อำเภอกลาง 9 หมื่น อำเภอเล็ก 8 หมื่น โดนกันถ้วนหน้า เป็นนัยยะว่าอำเภอใหญ่ ต้องมีรายได้มาก ทุนมาก แต่ถามว่าทุนใคร เงินใคร ตรงนี้ต่างหากที่ต้องพิจารณาในมุมกลับ เพราะแหล่งเงินทุนแน่นอนว่าคงไม่ใช่ตาสีตาสายายมียายมาหรือเศรษฐีในพื้นที่เท่านั้น การบังคับกะเกณฑ์เรี่ยไรเอากับคนทั่วไป คนที่ขาดแคลน หน่วยราชการเล็ก เช่น อปท. จึงเป็นเรื่องยาก เพราะเงินราชการเบิกจ่ายไม่ได้ ข้าราชการไม่มีศักยภาพในการบริจาคเงินมากนัก เพราะเป็นมนุษย์เงินมีรายได้จำกัด การเรี่ยไรเงินจากคนท้องถิ่นของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค การตีกินขอฟรีจากหยาดเหงื่อของคนทำงานท้องถิ่น ต้องมีการรั่วไหลผิดวัตถุประสงค์การขอเงินทำบุญ แต่ผู้ให้ก็รู้ๆ กันจะไม่ถามรายละเอียดว่า นายอำเภอ ผู้ว่าเอาเงินไปทำอะไร แน่นอนเงินส่วนหนึ่งอาจรั่วไหลเข้าส่วนตัว ไม่บริสุทธิ์ใจ ไม่โปร่งใส อ้างหักค่าบริหารบ้าง ค่าเหนื่อยบ้าง ค่าเสียเวลาบ้าง แจกจ่ายลูกน้องบ้าง ฯลฯ ทั้งๆ ที่งานหลวงต้องเสียสละ จะไปคิดต้นทุนการทำงาน (ถอนทุนคืน) ไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้าราชการคนหลวงทุกคนมีเงินเดือนกินจากภาษีประชาชน แม้ฉากหน้าบอกเหตุผลการขออย่างสวยบอกว่า ขอเงินบริจาคสนับสนุน อ้างเอาไปทำโน่นนี่นั่น อ้างหลวง อ้างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน อ้างทำบุญวัด ฯลฯ แต่หารู้ไม่ว่า การหักดิบขอเงินแบบนี้มันมาจากช่องทางการทุจริตต่างๆ ได้ เพราะเม็ดเงินมันเยอะ ตรวจสอบยอดไม่ได้ ไม่ได้มาตามหลักศรัทธาการทำบุญ แต่เป็นการจำใจให้ เพื่อความสะดวกในการทำงาน เป็นระบบอุปถัมภ์ต่างตอบแทน ที่ผู้ให้เงินย่อมหาทางเอาเงินคืนจากช่องทางต่างๆ ส่วนใหญ่ก็คือการตุกติก ลวดลาย เรียกรับ การทุจริตมิชอบนั่นเอง การจัดระบบเงินหัวคิวประจำปีที่หน่วยราชการระดับล่างต้องเตรียมเงินไว้เป็นสิ่งปกติ เพราะหน่วยเหนือจะเรียกบริจาคสนับสนุน เรี่ยไรได้ตลอดทั้งปี การเรี่ยไรเงินจากใครได้บ้าง เป็นคำถามที่หนักใจในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝืดเคือง การทำมาค้าขายยาก ไม่ว่าจากนายก หรือจากข้าราชการเจ้าหน้าที่ อปท. คนมีเงินเดือน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ หรือจาก อปท. หรือจากคนทั่วไปใครๆ ก็ได้ แม้แต่ชาวบ้านร้านค้าที่อ่วมเพราะพิษเศรษฐกิจ ก็หนีไม่พ้นต้องไปขอแรงบริจาคอีก เป้าหมายในการระดมทุนดังกล่าวเพ่งเล็งไปที่นักธุรกิจใหญ่ นายทุนผู้รับเหมาโครงการงานใหญ่ๆ ในพื้นที่ เพราะบรรดานักการเมืองและเครือข่ายได้รับงานเหมาราชการไปหมดแล้ว และเป้าหมายหลักอีกอย่างคือ ส่วนราชการท้องถิ่น (อปท.) ท้องที่ (กำนันผู้ใหญ่บ้านฯ) เป็นเป้าหมายปกติประจำ ที่ต้องไปขอความร่วมมือจากนักธุรกิจ นายทุนผู้รับเหมาในพื้นที่อีกเป็นทอดๆ แต่บางแห่งมีองค์กรการกุศล วัด ที่มีสภาพคล่องทางการเงินอาจขอรับบริจาคได้ สามารถให้ปัจจัยเงินสมทบอำเภอได้บ้าง เช่น สมทบทุนโครงการทูบีนัมเบอร์วัน เพราะหน้าที่ประการสำคัญของ อปท. คือการช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน เช่น คนไร้ที่พึ่ง คนด้อยโอกาส คนที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง เป็นต้น แต่ อปท.ขนาดเล็กอาจประสบปัญหาสภาพคล่องในการเบิกจ่ายงบประมาณราชการ และขั้นตอนตามระเบียบราชการที่อาจยุ่งยาก “เงินกาชาด” ทั้งกาชาดจังหวัด กาชาดอำเภอ เป็นงบที่สามารถนำมาช่วยเหลือได้ แต่ข้อเท็จจริงนั้น ไม่พ้น อปท. ที่ต้องรับภาระชาวบ้านเดือดร้อนไปก่อนที่กาชาดจะเข้ามา และสุดท้ายกาชาดก็อาจไม่ได้ช่วยเหลือ ศูนย์ต่างๆ ในอำเภอหรือจังหวัด ไม่ว่าศูนย์ช่วยเหลือประชาชน ศูนย์รวมข่าว ศูนย์จัดซื้อจัดจ้าง ยังเป็นจุดในการขายบัตรการกุศลด้วย ในแต่ละปีกาชาดจังหวัดระดมเงินทุนบริจาคได้มากถึงปีละ 20-30 ล้าน นอกเหนือจากการรับบริจาคโลหิต (Blood Donation) ที่เป็นผลงานของเหล่ากาชาดจังหวัดที่อาจคิดมูลค่าเป็นตัวเงินได้ด้วย แม้ว่าจะเป็นการบริจาคฟรี แต่โลหิตที่บริจาคทุกปี ก็ไม่เพียงพอต่อการใช้ เช่น หมู่โลหิตพิเศษที่หายาก กลุ่มเอบี กลุ่มอาร์เอชลบ (Rh Negative) หากมีอุบัติเหตุต้องการโลหิตก็ระดมขอบริจาคจากญาติ คนทั่วไปอีกได้ ระวังธุรกิจสีดำสีเทาหาแหล่งฟอกเงิน ข่าวแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายธุรกิจสีดำสีเทาในสังคมไทย เช่น ค่าหัวคนงาน แรงงานต่างด้าว เงินหัวคิวจัดซื้อจัดจ้าง เงินซื้อขายตำแหน่ง ส่วยสิบล้อ ส่วยป่าไม้ ส่วยสรรพสามิต ส่วยเทศกิจ เงินทุจริตราชการต่างๆ เป็นต้น ด้วยเม็ดเงินทางเศรษฐกิจนอกระบบ กำลังจะพูดถึง “การบริจาคเงิน” เปิดทางให้ธุรกิจมืดสีดำสีเทาได้ฟอกตัว เป็นแหล่งฟอกเงิน (Money Laundering) อบายมุขจริงหรือไม่ ที่จริงไม่ได้ใส่ร้ายกล่าวหาใครว่า การทำบุญ การบริจาคแจกเงิน แจกเงินสิ่งของช่วยเหลือคนทุกข์คนยาก คนด้อยโอกาสฯ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่งเสริมการฟอกตัวของธุรกิจอบายมุข ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ส่งเสริมคนยากจนไม่สู้ชีวิต แต่ในมุมย้อนแย้งจะมองในภาพรวม มิได้มองจุดดีเพียงจุดเดียว เทคนิคหนึ่งในการระดมทุนของโลก และของไทยก็คือการบริจาคเงินทำบุญ (charity & donation) จากประชาชน เอกชน องค์กรต่างๆ แต่พึงระวังการรับบริจาคทุจริต แอบแฝงอ้างโน่นนี่นั่น นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ นำเขาบัญชีส่วนตัว ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ หรือรั่วไหล หรือทุจริตยักยอก เช่น ข่าวการรับบริจาคช่วยน้ำท่วมผ่านดารา 422 ล้าน (2562) ข่าวการบริจาคเงินช่วยดับไฟป่าผ่านคนดังไลฟ์โค้ชเอ็นฟลูเอนเซอร์ 8 แสนเศษ (2562-2563) เป็นต้น หากสังคมกังขาก็มีกระแสเรียกร้องให้ตรวจสอบได้ หลายคนนึกไปถึง ข่าวการบริจาคเงินส่วนตัวช่วยสังคมแบบให้เปล่าฟรีของเซเลบคนดังอื่นๆ นอกจากนี้ คำเชิญชวนโดยคนดังผู้มีชื่อเสียงเซเลบ ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนบริจาคเงินแบบไม่คิดอะไรมาก การระดมทุน Crowd Funding ผ่าน Platform ทำไมปุถุชนจึงบริจาคเงิน นักเศรษฐศาสตร์มีคำอธิบายว่าเพราะ (1) warm glow (แสงเรืองรองที่อบอุ่น) ผลตอบแทนจากการบริจาคคือความอบอุ่นในจิตใจในฐานะ “ผู้ให้” (2) จากบริจาคเป็นการ “ซื้อบริการ” เช่นการปกป้องผืนป่าแทนที่จะสมัครเป็นผู้พิทักษ์ป่า ก็สามารถบริจาคเงินเพื่อซื้อบริการมูลนิธิรักษาป่าให้ไปทำงานปกป้องผืนป่าแทนได้ ที่ผู้บริจาคสามารถตรวจสอบทำงานขององค์กรที่ส่งเงินไปสนับสนุนได้ การระดมทุนยุคอินเทอร์เน็ตที่นิยมในต่างประเทศคือ “คราวด์ฟันดิง” (Crowd Funding) ก.ล.ต. กำกับดูแลผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ระบบ “funding portal” (FP) ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 เหมาะสำหรับธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้ มี 4 แบบ (2563) ได้แก่ (1) Donation-based การระดมทุนในรูปแบบของการบริจาคเงิน มักเป็นองค์กรการกุศล มูลนิธิต่างๆ ที่มีโครงการที่ต้องการทำให้สำเร็จในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นการระดมทุนแบบให้เปล่า ไม่มีสิ่งตอบแทนให้กับนักลงทุน ตัวอย่างเช่น โครงการ “ตลาดใจ” (โน้ต อุดม) หรือ โครงการ “ก้าว” (ตูน บอดี้สแลม) เพื่อนำเงินไปมอบให้โรงพยาบาล เป็นต้น ปัจจุบันในเมืองไทยมี Platform Donation Based ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง คือ “เทใจดอทคอม” (taejai.com) ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2563 มียอดบริจาคถึง 142,827,086 บาท จำนวนผู้บริจาค 72,472 คน เป็นโครงการที่ระดมทุนสำเร็จแล้วกว่า 355 โครงการ (2) Reward-based การระดมทุนที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนในรูปของตัวเงิน แต่จะได้รับผลตอบแทนเป็นสิ่งของ หรือสิทธิพิเศษตามที่เจ้าของโครงการกำหนด การระดมทุนประเภทนี้มีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การระดมทุนผลิตสินค้า เมื่อเราให้เงินไป จะได้สินค้านั้นๆ เป็นของตอบแทน เหมือนกับเว็บไซต์ Kickstarter.com ในต่างประเทศ หรือจะเป็นการสั่งของแบบ Pre-Order (3) Peer-to-peer lending เป็นการระดมทุนแบบกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลกับบุคคลกันโดยตรง โดยผู้ให้กู้กับผู้กู้มาเจอกันบน Platform กลาง โดย Platform กลางจะเป็นผู้รวบรวมเงินทุนจากผู้ให้ยืมตามจำนวนที่ผู้กู้ต้องการส่งให้ผู้กู้ มีเงินจ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันล่วงหน้า ความเสี่ยงคือผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ได้ แต่จุดเด่นคือ เป็นการกู้ยืมเงินโดยไม่มีคนกลาง เหมือนกับที่กู้ธนาคาร อัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าการลงทุนแบบอื่น และได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสำหรับผู้อยากกู้เงิน การระดมทุนแบบนี้เป็นที่นิยมสูงในต่างประเทศ ยกตัวอย่าง ในอเมริกา Lendingclub.com ประเทศไทยเช่น บริษัท ดีพสปาร์คส์ เพียร์ เลนดิ้ง จำกัด (รายแรก) เป็น Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2563 (4) Investment-based การระดมทุนนี้เป็นการลงทุนที่นิยมที่สุด เพราะมีผลตอบแทนที่จับต้องได้มากที่สุด ผู้ลงทุนจะได้รับหุ้นและได้รับผลตอบแทนจากการถือหุ้นนั้น แบ่ง 2 แบบ คือ (4.1) Equity crowd funding ด้วยการออกหุ้น (equity-based) ที่ผู้ลงทุนได้ร่วมเป็นเจ้าของกิจการในฐานะ ผู้ถือหุ้น ซึ่งผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นกำไร เป็นเงินปันผล ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและนโยบายของบริษัทนั้นๆ เป็นตัวกำหนด (4.2) Debt crowd funding ด้วยการออกหุ้นกู้ (debt-based) ผู้ลงทุนจะเป็นผู้ถือหุ้นกู้ที่ได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นสิ่งตอบแทน การระดมทุนรูปแบบนี้จะเป็นที่นิยม เพราะผู้ระดมทุน หรือ เจ้าของกิจการยังสามารถรักษาความเป็นเจ้าของได้ จ่ายเพียงผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนเป็นดอกเบี้ยเหมือนกับการกู้เงิน เพียงแต่ Debt Crowd funding จะเป็นการยืมเงินจากผู้ลงทุนหลายๆ คน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลางอย่างธนาคาร ที่ต้องใช้เอกสาร และมีกฎข้อบังคับต่างๆ Debt Crowd funding คล้ายคลึงกับ Peer-to-Peer Lending มีข้อแตกต่าง คือ Debt Crowd funding นั้นผู้ที่เสนอขายหุ้นกู้จะเป็นบริษัทหรือธุรกิจที่อาจเรียกได้ว่ามีความน่าเชื่อถือหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่าแบบ Peer-to-Peer Lending ที่ผู้ปล่อยกู้นั้นเป็นระหว่างบุคคลกับบุคคล หวังว่า การปฏิรูปแก้ไขระบบบริจาคที่โปร่งใส จะแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นเชิงระบบของไทยได้