ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า... มีคนถามมาเกี่ยวกับความรุนแรงของ BA.2 ว่ามีประเด็นอะไรที่น่ากังวล 1. ความรุนแรงหมายถึงโอกาสที่เชื้อทำให้อาการหนักขึ้น เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ ข้อมูลในปัจจุบันจากในหนูที่ทดลองให้ติดเชื้อ BA.2 พบว่าปอดอักเสบเกิดมากกว่า BA.1 แต่ไม่ได้หมายความว่าในคนจะอาการรุนแรงเหมือนในหนูเสมอไป เพราะในคนความรุนแรงยังขึ้นอยู่กับการได้วัคซีน อายุ โรคประจำตัว ในประเทศที่มีการระบาดของสายพันธุ์นี้ ยังไม่ได้รายงานเห็นความรุนแรงเพิ่มขึ้นในคน -- อาจจะต้องรอข้อมูล 2. BA.2 ติดได้ง่ายกว่า BA.1 และ Delta ดังนั้นในบางประเทศจึงพบว่ามีสัดส่วนของเชื้อนี้สูงขึ้น ในห้องทดลองพบว่าไวรัสมีส่วนของ spike ที่จับกับเซลล์ได้ดีกว่า 3. การหลบภูมิจากวัคซีนก็พอๆกันกับ omicron สายพันธุ์ย่อยอื่นๆ แต่ยังเชื่อว่าการได้รับเข็มกระตุ้นยังป้องกันโรคที่รุนแรงและกันเสียชีวิตได้ 4. ไวรัสมีการกลายพันธุ์ที่ลดการตอบสนองการรักษาด้วยยา monoclonal antibody ที่มีในเมืองไทยทุกตัว เดิม โอมิครอนธรรมดาใช้ sotrovimab ได้ ตอนนี้ถ้าเป็น BA.2 อาจจะไม่ได้ผลแล้ว 5. ยาอื่นๆที่อาจจะยังใช้ได้คือ remdesivir molnoupiravir nirmatrevir (Paxlovid) ตอนนี้ที่ รพ จุฬาปรับแนวทางการรักษาให้ early remdesivir ในผู้ป่วยโควิดที่มีความเสี่ยงที่ีอาการรุนแรง โดยที่ไม่ต้องรอปอดอักเสบ ตามข้อมูลของ https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2116846 และจากข้อมูลยานี้น่าจะยังใช้ได้กับโอมิครอนทุกสายพันธุ์ย่อย 6. การตรวจสายพันธุ์ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตอนนี้ตรวจพบ BA.2 ในบางราย ที่มีประวัติเดินทางจากต่างประเทศ ทั้งหมดอาการไม่รุนแรง ส่วนรายที่อาการหนักเป็นเดลต้าและโอมิครอนในคนที่ไม่เคยได้วัคซีนมาก่อน โดยสรุปคือติดได้ง่ายกว่าเดิม ข้อมูลตอนนี้ความรุนแรงไม่ได้มากกว่าโอมิครอนอื่นๆ **แต่คนที่มีความเสี่ยงโรครุนแรงที่ได้รับวัคซีนไม่ครบอาจจะมีปัญหาในการรักษาเนืองจากเชื้อลดการตอบสนองต่อยาบางตัวลง อ้างอิงจาก doi: https://doi.org/10.1101/2022.02.06.22270533 doi: https://doi.org/10.1101/2022.02.14.480335 https://www.biorxiv.org/.../2022.02.15.480166v1.full.pdf (ข้อมูลส่วนใหญ่ยังอยู่ใน preprint)