ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต มนุษยชาติโดยแท้จริงย่อมมีความหวังอยู่ในจิตวิญญาณเสมอ...วิวัฒนาการของชีวิตที่เริ่มตั้งแต่ยังเป็นแค่ทารก ในฐานะสปีซีส์...อันเป็นเครื่องยืนยันว่า เราต่างเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา..นั่นจึงเป็นสิ่งที่ถือกันว่า “ประวัติศาสตร์” เกิดขึ้นในช่วงหกสิบวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะถึงเที่ยงคืน..พีระมิดและปราสาททั้งหมด อัศวิน และ สตรีอันเป็นที่รัก เครื่องจักรไอน้ำ และ จรวดยานอวกาศ....ในชั่วพริบตา โฮโมเซเปียนก็แพร่กระจายตัวไปทั่วโลก จากทุ่งหญ้าทุนดราที่หนาวเหน็บสุดขั้วไปจนถึงทะเลที่ร้อนสุดขีด ...เรายังเป็นสปีซีส์ที่พุ่งทะยานออกจากโลกและก้าวเท้าลงบนดวงจันทร์ด้วย...แต่ทำไมถึงเป็นพวกเรา ทำไมนักบินอวกาศคนแรก ถึงไม่ใช่ กล้วย หรือวัว หรือ ซิมแปนซี... นี่อาจดูเป็นบริบทแห่งเรื่องราวและต้นเค้าแห่งคำถามโง่ๆ...แต่ในทางพันธุกรรมแล้ว เราเหมือนกับกล้วย 60 เปอร์เซ็นต์ เหมือนวัว 80 เปอร์เซ็นต์ และเหมือนกับซิมแปนซี 99 เปอร์เซ็นต์ การที่เราจะรีดนมวัว ไม่ใช่วัวรีดนมเรา หรือเราขังซิมแปนซีไว้ในกรง ไม่ใช่มันที่ขังเราไว้แทน ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนตายตัว... “ทำไม 1 เปอร์เซ็นต์ ถึงทำให้เราแตกต่าง...” ทั้งหมดนี้..คือข้อคิดสำคัญจากหนังสือ “HUMANKIND: A HOPEFUL HISTORY” ที่เขียนขึ้นโดยนักคิด นักประวัติศาสตร์หนุ่มวัย 34 ปี ชาวดัชต์ “รุตเกอร์ เบรกแมน” (Rutger Bregman)...ผู้เขียน หนังสือมาแล้ว 4 เล่มทั้งที่เป็น ประวัติศาสตร์ ปรัชญา และ เศรษฐศาสตร์ ..../ “UTOPIA FOR REALISTS:HOW YOU CAN BUILT THE IDEAL WORLD” คือหนังสือที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่างที่สุด ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศถึง 32 ภาษา ว่ากันว่า องค์ประกอบพื้นฐานของวิวัฒนาการชีวิตนั้น ไม่ได้ซับซ้อน...สิ่งที่เราทุกๆคนจะต้องมีก็คือ...ความทุกข์ทรมานเยอะๆ /การดิ้นรนต่อสู้เยอะๆ/และ เวลาเยอะๆ....พูดสั้นๆก็คือ กระบวนการวิวัฒนาการมีที่มาดังนั้น...สัตว์จึงมีลูกหลานมากเกินกว่าจะเลี้ยงดูได้ สัตว์ที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าเล็กน้อย...อันหมายถึง พวกที่มีขนหนากว่า หรือพรางตัวได้ดีกว่า...จะมีโอกาสมากกว่าเล็กน้อยที่จะมีชีวิตรอดไปสืบพันธุ์ หากลองจินตนาการดูถึงเกมวิ่งแข่งจนกว่าจะตาย ที่สิ่งมีชีวิตหลายต่อหลายพันล้านได้ล้มตายลง บางตัวก็ตายก่อนที่จะสืบพันธุ์ได้ หากการวิ่งแข่งนี้ดำเนินไปนานพอ สมมติว่าสักสี่พันล้านปี ความแตกต่างปลีกย่อยที่เล็กจิ๋วที่สุด ระหว่างพ่อแม่และลูกๆ ก็จะแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิตต้นใหญ่หลากหลาย..”.นั่นแหละง่ายแต่เยี่ยมยอด...” “รุตเกอร์”....ได้เน้นย้ำถึงสถานะพิเศษของมนุษย์เราว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระเจ้ามาเป็นเวลานาน...เผ่าพันธุ์มนุษย์ดีกว่า ฉลาดกว่า และเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ “เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการสร้างสรรค์ของพระองค์” แต่ลองจินตนาการดูอีกครั้งว่า...เมื่อสิบล้านปีก่อน มีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก พวกเขาจะทำนายการกำเนิดขึ้นมาของโฮโมเซเปียนได้หรือเปล่า ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตสกุลโฮโมยังไม่เกิดขึ้นมาเลย..แต่ที่จริงๆแล้วโลกยังเป็นพิภพวานร และแน่นอนว่าไม่มีใครกำลังสร้างเมือง เขียนหนังสือ หรือปล่อยจรวด มีความจริงที่เราไม่อยากรู้เท่าไหร่นักก็คือ...สิ่งมีชีวิตที่มองตัวเองแตกต่างมีเอกลักษณ์ กลับเป็นผลผลิตของขบวนการอันไร้เหตุผลที่เรียกว่าวิวัฒนาการเช่นกัน...เราเป็นส่วนหนึ่งในวงศ์สิ่งมีชีวิตที่โหวกเหวกและขนดก เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าไพรเมต ก่อนที่จะถึงช่วงสิบนาทีก่อนเที่ยงคืน เรายังมีลิงใหญ่อีกพวกหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน...จนกระทั่งพวกเขาหายไปอย่างลึกลับ “ผมจำได้ดี ตอนที่ผมเริ่มเข้าใจความหมายของวิวัฒนาการ...ตอนนั้นผมอายุสิบเก้า และได้ฟังการบรรยายเรื่อง ชาร์ล ดาร์วิน ด้วยไอพอด ผมหดหู่ซึมเศร้าไปหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่า...ผมเคยเรียนเรื่องนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษตอนเป็นเด็ก แต่ผมเข้าโรงเรียนคริสเตียนและครูสอนชีววิทยาก็นำเสนอวิวัฒนาการในฐานะทฤษฎีหนึ่ง...อืม...ก็ไม่เชิงนะ!...ผมเพิ่งมารู้เรื่องนั้นเอาทีหลัง...” สำหรับดาร์วิน นักชีววิทยา ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยคิดจะเป็นบาทหลวง แต่การที่เขาไม่อาจผสานความโหดร้ายของธรรมชาติเข้ากับเรื่องราวการสร้างในไบเบิลได้ ทำให้ศรัทธาที่เขามีต่อพระเจ้าทลายลงในที่สุด เขาได้เขียนบอกกล่าวเอาไว้ว่า ลองนึกถึงแตนเบียน แมลงที่วางไข่ลงในตัวหนอนผีเสื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่ฟักตัว..ตัวอ่อนจะกินหนอนผีเสื้อจากด้านใน เกิดเป็นความตายที่สยดสยองยาวนาน... “คนวิปริตแบบไหนถึงคิดอะไรแบบนั้นได้...” แท้จริง...ไม่มีใครคิดได้ ไม่มีจอมวางแผน ไม่มีรูปแบบอันยิ่งใหญ่ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และดิ้นรนต่อสู้...เป็นเพียงเครื่องมือของวิวัฒนาการ เราจะโทษดาร์วินได้หรือ..ที่เขาไม่ยอมตีพิมพ์ผลงานหลายปี...เขาเขียนบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า..งานของเขา “เหมือนการสารภาพว่า ฆาตกรรม” เหตุนี้...ทฤษฎีวิวัฒนาการจึงหาใช่ทฤษฎีที่สนุกสนานบันเทิงใจมากขึ้นกว่าตอนเริ่มต้นก่อตัวแต่อย่างใด...ในปีค.ศ.1976 “ริชาร์ด ดอว์กินส์” (RICHARD DAWKINS) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นเอกของเขาในเรื่องบทบาทสำคัญของยีนส์ในวิวัฒนาการชีวิต โดยใช้ชื่อแบบโจ่งแจ้งว่า “ยีนส์เห็นแก่ตัว” (The Selfish Gene)..ซึ่งเป็นหนังสือที่อ่านแล้วหดหู่มาก...เพราะเราต่างวางใจว่าธรรมชาติจะทำให้โลกนี้ดีขึ้น แต่ดอว์กินส์กลับระบุออกมาอย่างชัดแจ้งว่า... “มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก”...แต่ลองพยายาม “สอนเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่เห็นแก่ตัวดู ....เพราะพวกเราต่างเกิดมาเห็นแก่ตัว” สี่ปีหลังจากที่ตีพิมพ์ ประชาชนชาวอังกฤษก็ลงคะแนนให้ “ยีนส์เห็นแก่ตัว” เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุด แต่ก็มีผู้อ่านหลายคนที่รู้สึกหมดกำลังใจเมื่ออ่านไปถึงตอนจบ “มันนำเสนอมุมมองในแง่ร้ายจนน่ากลัวที่มีต่อธรรมชาติของมวลมนุษย์...แต่ผมก็ไม่สามารถจะหาเหตุผลใดมาโต้แย้งมุมมองดังกล่าวนั้นได้...มีผู้อ่านท่านหนึ่ง ถึงกลับเอ่ยปากว่า... “ผมไม่น่าอ่านมันเลย”....” ดังนั้น “รุตเกอร์” จึงดูเหมือนจะให้ข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นตรงนี้ว่า.....มันเกิดขึ้นเพราะยีนส์ของเราเห็นแก่ตัวที่สุด เนื่องเพราะเราทั้งแข็งแกร่งและฉลาด เรามีประสิทธิภาพ แต่ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงหรือ..ในเรื่องความแข็งแรง../ จริงๆแล้วเราไม่แข็งแรงเลย ซิมแปนซีสามารถตีเราได้โดยที่มันไม่ทันจะเหงื่อออกเสียด้วยซ้ำ วัวตัวผู้สามารถใช้เขาแหลมๆข้างหนึ่งของมันแทงเราได้../เมื่อแรกเกิด เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และหลังจากนั้นเราก็ยังอ่อนแอและเชื่องช้า...และหนีอันตรายโดยปีนขึ้นต้นไม้ก็ไม่ได้...บางทีนั่นอาจเป็นเพราะว่า..เราฉลาดมากๆหรือเปล่า... มองอย่างผิวเผินเราอาจคิดกันแบบนั้น...โฮโมเซเปียนมีสมองใหญ่พิเศษเพื่อดูดพลังงานเหมือนห้องอบไอน้ำที่ขั้วโลกเหนือ สมองของเราอาจมีน้ำหนักแค่เพียง 2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว แต่มันใช้พลังงาน 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแคลอรีที่เราบริโภคเข้าไป... “แต่มนุษย์ฉลาดเฉียบแหลมขนาดนั้นจริงๆไหม เวลาที่เราแก้โจทย์เลขยากๆได้ หรือวาดภาพสวยๆ เรามักจะเรียนรู้ทักษะเหล่านั้นจากคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น โดยส่วนตัวแล้วผมนับเลขได้ถึงสิบ แน่นอนว่ามันน่าประทับใจ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียนรู้ระบบตัวเลขด้วยตัวเองได้หรือเปล่า....” เป็นไปได้ไหมว่า...สังคมที่มีอารยธรรม ไม่ใช่เปลือกที่คอยปกป้องเราเลย เป็นไปได้ไหมว่า... อารยธรรมคือสิ่งเสื่อมทรามร้ายกาจ ..ในขณะที่โลก มีวิทยาศาสตร์แขนงใหม่อย่างหนึ่งที่ก้าวขึ้นมามีความสำคัญและเริ่มนำเสนอข้อพิสูจน์อันน่าตื่นตระหนกที่บอกว่า โดยแก่นแท้แล้ว มนุษย์มีข้อบกพร่องจริงๆ...แขนงวิชานี้คือจิตวิทยา ระหว่างทศวรรษ 1950 ถึง 1960 จิตวิทยาสังคม เริ่มสอดส่อง เสาะหา และส่งเสริม เพื่อจะระบุว่า อะไรที่เปลี่ยนชายและหญิงธรรมดาให้เป็นคนป่าเถื่อน นักวิทยาศาสตร์สายพันธุ์ใหม่นี้คิดหาการทดลองขึ้นมาหลายต่อหลายรูปแบบ เพื่อแสดงให้เห็นว่า..มนุษย์ทำในสิ่งที่น่าตกใจได้ แค่เพียงในสถานการณ์ที่มีแรงกระตุ้นเท่านั้น... นาซีในตัวพวกเราทุกคนก็จะออกมา “สิ่งที่ผมสนใจ ก็คืองานศึกษาเหล่านี้ทำขึ้นมาภายใต้ระเวลาอันสั้น นี่คือยุคสมัยแห่งความไร้กฎเกณฑ์ในแวดวงจิตวิทยาสังคม ที่นักวิจัยผู้เก่งกาจสามารถทะยานขึ้นสู่การเป็นดวงดาวในวงการวิทยาศาสตร์ ด้วยการทดลองที่น่าตกใจ....ห้าสิบปีต่อมา หนุ่มสาวผู้เก่งกาจก็ล้มตายลงและจากไปหรือไม่ก็ท่องโลกในฐานะศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียง งานของพวกเขาโด่งดังและยังคงถูกนำมาสอนนักศึกษารุ่นใหม่ๆ แต่ถึงวันนี้คลังเอกสารการทดลองในวงจรหลังสงครามของพวกเขาถูกเปิดออก เป็นครั้งแรกที่เราสามารถ เข้าไปดูเบื้องหลังการทดลองเหล่านั้นได้..” “ HUMANKIND”...คือหนังสือแห่งความคิดอันทรงคุณค่าของโลกร่วมสมัย...หนังสือที่ถูกยกย่องและตีความว่า...มันคือสิ่งที่สามารถทำลายมุมมองในแง่ร้ายที่ว่ามนุษย์ชั่วร้ายและเห็นแก่ตัวแต่กำเนิดและวาดภาพธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ใช่แค่ชวนให้อุ่นใจแต่ยังถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วย... “รุตเกอร์ เบรกแมน”...จึงคือหนึ่งในนักคิดที่สามารถปลุกกระตุ้นมากที่สุดในยุคของเรา...เขาพาเราไปสำรวจจิตใจของมนุษย์ผ่านประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติด้วยมิติความคิดแห่งโลกทัศน์ใหม่..ที่ว่ามนุษย์ล้วนเป็นคนดีโดยกำเนิด เขาสืบเสาะและค้นหาความจริงด้วยการพาเราย้อนอดีตไปกว่า 200,000 ปี เพื่อที่จะค้นพบว่า “โฮโมเซเปียน” ได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ครองโลกและได้ไปเหยียบดวงจันทร์.....เพราะพวกเรามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน.... “ที่ผ่านมา มนุษย์ไม่เคยไร้หัวใจ...ถึงตอนนี้ ได้เวลาของสัจนิยมใหม่แล้ว..นี่จึงคือเวลาที่เราจะมองมนุษยชาติในมุมใหม่