“ปชป.” ย้ำไม่ตั้งวอร์รูม ศึกอภิปรายฯ 17-18 ก.พ. มั่นใจรมต.แจงได้ “โฆษกรัฐบาล” สวน “เพื่อไทย-ก้าวไกล” คิดเข้าข้างตัวเองหารัฐบาลไร้เอกภาพ แขวะระวังสภาจะกลายเป็นลานประหารฝ่ายค้านที่ไม่สนงานสภา “พิเชษฐ” โต้ลั่น กลุ่ม 16 เคลมตัวเลขเรียกกล้วย ขู่เดินหน้าตรวจสอบรัฐบาล “โฆษกพรรคเพื่อไทย” แนะรัฐทบทวนอย่าด่วนปลดโรคโควิดพ้นยูเซ็ป ถามใช้งบเงินกู้ 1.5 ล้านล้าน แก้โควิดถูกต้องตามวัตถุประสงค์การกู้หรือไม่ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.65 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 และจะมีการอภิปรายกันในวันที่ 17-18 ก.พ.นี้ ว่า ในส่วนของพรรคจะไม่มีการตั้งวอร์รูม เชื่อว่ารัฐมนตรีในส่วนของพรรคชี้แจงได้ โดยแต่ละกระทรวงที่รับผิดชอบจะมีคณะทำงานเพื่อเตรียมข้อมูลและติดตามการอภิปรายอยู่แล้ว ในส่วนของพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคฯ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้ตนทำหน้าที่ประสานงานกับคณะทำงานของแต่ละกระทรวงเพื่อทำการชี้แจงในฐานะโฆษกพรรค หากมีการพาดพิงให้พรรคเสียหายจากข้อมูลที่เป็นเท็จ นอกจากการตอบข้อซักถามในสภาโดยรัฐมนตรีของพรรคแล้ว การชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในส่วนของพรรคก็จะทำควบคู่กันไปอย่างเต็มรูปแบบ “เชื่อมั่นรัฐมนตรีของพรรคชี้แจงได้ทุกประเด็น การอภิปราย การตรวจสอบของฝ่ายค้านคือหลักการในระบบประชาธิปไตยที่สวยงาม แต่หลักการสำคัญอีกประการคือการตรวจสอบจะต้องเอาความจริงมาพูดกัน หากเอาความเท็จมาพูดก็ต้องรับผิดชอบเพราะประชาชนจับตามองอยู่เช่นกัน” นายราเมศ กล่าว นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการรับมือการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152ของฝ่ายค้าน ว่า ฝ่ายค้านไม่มีราคา ไม่มีประเด็นอะไร ที่มีราคาพอที่จะต้องห่วง และเชื่อว่าคณะรัฐมนตรีจะสามารถตอบคำถามได้ทุกเรื่อง ซึ่งการตอบคำถามก็จะทำให้เคลียร์ และชัดเจน แล้วครั้งนี้เป็นการอภิปราย ปัญหา และข้อเสนอแนะไม่ได้มีการลงมติจึงไม่ต้องห่วงอะไร ตนเชื่อว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มีการหารือเรื่องตั้งทีมองครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เลยใช่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ใช่ มันไม่จำเป็น ไม่ได้ให้ราคากับฝ่ายค้าน ด้าน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่ นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ระบุการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก ฯ และรมว.กลาโหม ขอความร่วมมือให้พรรคร่วมรัฐบาลช่วยกันรักษาองค์ประชุมสภา สะท้อนว่าระดับความเป็นเอกภาพของรัฐบาลแย่มาก ถึงขั้นนายกฯ ต้องเอ่ยปากขอเอง ว่า ไม่อยากให้นายสุทินคิดแบบคนใจแคบ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลทำงานร่วมกัน ย่อมต้องปรึกษาหารือและขอความร่วมมือเป็นนำหนึ่งใจเดียวกันเป็นธรรมดา คงไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทย ที่คนๆ เดียวสั่งซ้ายหันขวาหันได้ตามใจ ซึ่งที่ผ่านมาท่านนายกฯ ก็ขอความร่วมมือจากคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สำคัญๆ อยู่หลายครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ฝ่ายค้านเห็นว่าสามารถเอาเรื่องนี้มาขยายผล สร้างให้เป็นประเด็นได้ จึงหยิบยกขึ้นมาเพื่อหวังจะดิสเครดิตรัฐบาลก็เท่านั้นเอง ส่วนกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุช่วงเดือนเม.ย.ถึงพ.ค. ถือเป็นแดนประหารของรัฐบาล เพราะขณะนี้รัฐบาลสามารถรักษาอำนาจได้ แต่บริหารงานไม่ได้นั้น นายธนกร กล่าวว่า หากนายพิธาคิดแบบหลอกตัวเอง เข้าข้างตัวเองเพื่อให้ตัวเองสบายใจก็ไม่ว่ากัน เพราะในความเป็นจริงแล้วพรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหนียวแน่น การทำงานนั้นบางเรื่องอาจจะมีความเห็นต่างกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ทำงานร่วมกัน แต่เมื่อพูดคุย อธิบาย ทำความเข้าใจกันแล้วทุกอย่างก็จบ อย่างไรก็ตาม หากนายพิธาคิดว่าวิธีนี้จะช่วยโหมโรงศึกอภิปรายได้นั้น ตนคิดว่านายพิธาคิดผิด สู้เอาเวลาไปหาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาอภิปรายให้ได้อย่างที่โม้เอาไว้ยังจะดีกว่า หรืออย่างน้อยก็ให้ประชาชนได้เห็นว่าฝ่ายค้านทำงานในสภาฯ อย่างจริงจังบ้าง ไม่ใช่หวังแต่จะยืมมือม็อบบนถนนล้มรัฐบาลลูกเดียว เพราะถ้ายังคิดแบบเดิมๆ สุดท้ายสภาฯ จะกลายเป็นลานประหารฝ่ายค้านเสียเอง “วันนี้ประชาชนเห็นไส้เห็นพุงนายพิธาหมดแล้ว วันๆ ไม่ได้สนใจงานสภา จ้องแต่จะหาโอกาสสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง ให้น้ำหนักกับเนื้อหาการทำงานน้อยกว่าการเล่นเทคนิคทางการเมือง โดยไม่สนว่าสร้างความเสียหายให้กับประเทศขนาดไหน คนแบบนี้หรือที่อยากจะเข้ามาบริหารประเทศ หวังที่จะให้ประชาชนฝากอนาคตด้วย” นายธนกร กล่าว น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยออกมาวิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ว่าแจกเงินยิ่งกว่าประชานิยม แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ และการสร้างงานสำคัญกว่า ว่า การวิจารณ์ดังกล่าวเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจบริบทเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไป จากการพึ่งรายได้จากต่างประเทศ ก็ต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศในระยะเร่งด่วน โครงการต่างๆของรัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน กระตุ้นการใช้จ่าย ช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อประคับประคองให้คนทุกกลุ่มได้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ซึ่งเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เช่นผลสำเร็จที่เห็นอย่างชัดเจนคือ การที่พี่น้องประชาชนลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ครบ 1 ล้านสิทธิ์อย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 11 ก.พ. สะท้อนถึงประสิทธิภาพของโครงการ “แต่พรรคเพื่อไทยก็พยายามหาช่องโจมตี บิดเบือนมุมมองเรื่องหนี้สาธารณะเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง แต่ไม่ได้มองในมิติทางด้านเศรษฐกิจ ให้สมกับเป็นคณะทำงานด้านเศรษฐกิจแต่อย่างใด ที่ต้องคิดและมองตามหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะเรื่องหนี้สาธารณะนั้นหากจะเลือกมองแต่มูลค่าของหนี้ โดยที่ไม่พิจารณาว่าได้นำเงินกู้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ตรงจุดหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นการมองอย่างตื้นเขินเกินจะบอกว่าเป็นทีมเศรษฐกิจ” น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่ได้แจกเงินอย่างเดียว มีเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้นในวงเงินที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เช่น สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ ของธนาคารออมสิน ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้แค่คิดสร้างงาน สร้างอาชีพเฉพาะหน้าแต่ยังเดินหน้าโมเดล เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG เพื่อยกระดับการแข่งขันของประเทศ เพิ่มมูลค่าทุกด้าน เช่น รัฐบาลได้สนับสนุนให้ เอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอีและกลุ่มสตาร์ตอัพมีความเข้มแข็ง เข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่รัฐสนับสนุน โดยมีข้อมูลว่า 9 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่าโครงการที่ขอรับการการส่งเสริมการลงทุนสูงกว่า 128,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งตั้งเป้าหมาย เพิ่มจีดีพีให้เป็น 2 แสนล้านบาท ที่จะให้พี่น้องประชาชนมีรายได้สูงขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนราว 10 ล้านคน ซึ่งตรงนี้มีระบบติดตามประเมินผลชัดเจน และปรับปรุงให้เข้ากับสถถานการณ์เสมอ เพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน “จะเห็นได้ว่าการใช้งบประมาณของรัฐบาล ไม่ได้แจกเงินให้ประชาชนอย่างสะเปะสะปะ อย่างที่กล่าวหา แต่เม็ดเงินลงไปอย่างเป็นระบบ เพื่อรายได้ครัวเรือนของพี่น้องประชาชนที่สูงขึ้น และเมื่อวิกฤตผ่านพ้นไปเศรษฐกิจไทยยังจะเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ทันเวลา เว้นแต่จะมีพวกที่ทำตนเหมือนหวังดีต่อพี่น้องประชาชน แต่ประสงค์ร้ายต้องการขัดแข้งขัดขานายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้ประชาชนได้มีรายได้สูงขึ้น” น.ส.ทิพานัน กล่าว ด้าน นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้าทีมกลุ่ม16 กล่าวว่า กลุ่ม16 จะมีส.ส.มากกว่าหรือน้อยกว่า 16 คน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ควรให้ความสำคัญเรื่องเป้าหมายการทำงานมากกว่า แม้มีจำนวนคนไม่กี่คน แต่ตรวจสอบทำประโยชน์ให้กับประชาชน กับมีคนเป็นหมื่นคนแต่ทำความเดือดร้อนให้ประชาชน อะไรเกิดประโยชน์มากกว่า แม้กลุ่ม16 จะเหลือส.ส.ไม่กี่คนก็ยังมั่นใจจะสร้างความกดดันให้รัฐบาลได้ จำนวนคนเป็นเรื่องเล็ก บางคนไม่ได้เป็นสมาชิกแต่พร้อมเป็นแนวร่วมสนับสนุนการทำงานให้กลุ่ม16 ยืนยันจะตรวจสอบรัฐบาลในเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน โดยเฉพาะกรณีการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว จะตรวจสอบต่อต้านถึงที่สุด “ยืนยันการเคลื่อนไหวของกลุ่มไม่มีข้อต่อรองผลประโยชน์ใดๆ หรือเรียกร้องกล้วย แต่ต้องการตรวจสอบการทำงานรัฐบาลในเรื่องไม่ถูกต้อง ส่วนการที่ระบุก่อนหน้านี้มีส.ส.มาร่วมงานด้วยจำนวนมากก็ไม่ใช่การเคลมตัวเลข หรือตั้งกลุ่มกำมะลอ เพื่อต่อรองใดๆเมื่อใครไม่อยากมาก็ไม่บังคับ อย่าเอาจำนวนคนเป็นตัวตั้ง” นายพิเชษฐ กล่าวต่อว่า ส่วนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในเดือนพ.ค. ส.ส.กลุ่ม16 จะลงมติไม่โหวตให้กับรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ต้องรอฟังคำชี้แจงของแต่ละคนก่อน ถ้าข้อมูลฝ่ายค้านมีหลักฐานชัดเจนถึงการทำให้ประเทศเสียหาย รัฐบาลตอบไม่ได้ กลุ่ม16 ก็คงยกมือไว้วางใจให้ไม่ได้