ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
บางทีความไร้เดียงสาก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ถ้าไม่เพิ่มมันเข้าด้วยกันในการใช้ชีวิตคู่
“พระสมสอน” หรือที่ใคร ๆ เรียกสั้น ๆ ว่า “พระสอน” เป็นพระรูปงาม เสียงเพราะ คือเทศน์ได้ไพเราะเสียงสดใส ด้วยท่วงทีที่สงบเสงี่ยมและผิวพรรณที่ผุดผ่อง ก็ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์น่าเลื่อมใส จึงมีบรรดาโยมผู้หญิงทุกวัยมาให้ความสนใจ ตั้งแต่บรรดาแม่ใหญ่และแม่ป้าน้าอาที่หลงใหลในเสียงเทศน์และดื่มด่ำในรสพระธรรม มาจนถึงบรรดาสาว ๆ ที่ชอบมานั่งชื่นชมในความน่ารักจากรูปร่างหน้าตาของพระหนุ่ม ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศที่วัดคึกคักเป็นพิเศษ
ในบรรดาโยมสาว ๆ มีอยู่คนหนึ่งที่ดูจะสนิทสนมกับพระสอนเป็นพิเศษ พระสอนเรียกเธอว่า “น้องดาว” เธอเป็นลูกสาวของครูใหญ่ในโรงเรียนที่อยู่ข้างวัดที่พระสอนบวชอยู่ โดยพระสอนที่ตอนนั้นยังเป็นสามเณรได้เรียนอยู่ในโรงเรียนของพระที่วัด ในขณะที่น้องดาวก็เรียนอยู่ในโรงเรียนของพ่อที่อยู่ใกล้ ๆ ทั้งยังมีบ้านที่อยู่ใกล้วัดนั้นด้วย อีกทั้งทางวัดก็ได้อาศัยครูจากโรงเรียนของพ่อน้องดาวมาช่วยสอนอยู่เป็นประจำ ทำให้ทั้งวัดและโรงเรียนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และต่างก็พึ่งพาอาศัยกันและกันในกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ
ในวันเทศน์มหาชาติที่จัดเป็นประจำในช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษา ที่คนภาคอีสานเรียกว่า “บุญผะเหวด” (หมายถึงการเทศน์เรื่อง “พระเวสสันดร” ผะเหวดก็คือพระเวสสันดรในสำเนียงอีสานนั่นเอง) ทางวัดก็ให้ทางโรงเรียนเชิญผู้ปกครองกับเด็กนักเรียนให้เข้ามาฟัง พร้อมกับจัดงานประเพณีร่วมกับวัด เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามนั้นด้วย ซึ่งพระสอนก็ได้ขึ้นเทศน์ที่ยังเป็นเณร ญาติโยมที่เป็นผู้ปกครองรวมทั้งเด็กนักเรียนทุกคนต่างก็รู้จักพระสอนเป็นอย่างดี เพราะพระสอนไม่เพียงแต่จะมีเสียงสวดที่ไพเราะหวานหู ไม่ยืดยานน่าเบื่อเหมือนพระแก่ ๆ แล้วก็ยังมีลีลาการร้องกลอนหมอลำได้อย่างน่าฟัง (ถ้าเป็นภาคกลางจะใช้เพลงแหล่และเพลงพื้นบ้านต่าง ๆ และมาในสมัยใหม่ยังใช้เพลงลูกทุ่งและเพลงฮิตต่าง ๆ มาประกอบให้น่าฟังอีกด้วย) หลายคนมาเป็นประจำทุกปี แม้ว่าลูกหลานจะจบออกจากโรงเรียนแล้ว ก็ยังมาร่วมฟังโดยไม่มีเบื่อ
น้องดาวก็เหมือนกับเด็กหญิงวัยรุ่นทั่ว ๆ ในวัน 14-15 ปี ก็มีนิสัยรักสวยรักงาม และชอบที่จะให้คนอื่น ๆ มองในความงามต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวของตนเองนั้น เธอมาฟังเทศน์มหาชาติกับพ่อทุกปี รวมถึงงานประเพณีอื่น ๆ ที่ทางวัดจัดขึ้น ทำให้เธอได้รู้จักกับเณรสอนมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว ส่วนเณรสอนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องดาว ส่วนหนึ่งก็ด้วยอยู่ในเพศสมณะที่เณรสอนค่อนข้างจะเคร่งครัด ด้วยตั้งใจว่าจะอยู่ในศีลให้มั่นคง อีกส่วนหนึ่งก็ด้วยความเจียมตัวที่เห็นว่าน้องดาวนั้นเป็นลูกสาวของครูใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีทางวัด จึงไม่ได้คิดอะไรในทางที่ให้ธรรมชาติของร่างกายมาครอบงำความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนั้นได้ แต่ว่าใครเล่าจะอยู่เหนือธรรมชาติทั้งหลาย ในที่สุดธรรมชาติก็เอาชนะศีลธรรมและทะลุฝ่าผ้าเหลืองที่คลุมห่มอยู่หลายชั้นนั้นได้
โรงเรียนนักธรรมที่วัดของเณรสอน ไม่ได้สอนให้แต่เพียงพระและเณร แต่ยังสอนให้กับฆราวาสอีกด้วย รวมทั้งที่จัดให้มีการสอนธรรมะให้กับเด็ก ๆ ในวันอาทิตย์ โดยจะต้องเป็นเด็กในชั้นประถมปลายขึ้นไป จนถึงนักเรียนในชั้นมัธยม น้องดาวได้แสดงความสนใจสมัครเข้าเรียนด้วยในปีที่ได้ไปร่วมฟังเทศน์มหาชาติเป็นปีแรก ที่มีเณรสอนขึ้นเทศน์อยู่ด้วยนั้น และเกิดติดใจในรูปโฉมโนมพรรณของเณร ไม่แตกต่างจากโยมสาว ๆ คนอื่น ๆ แต่น้องดาวไปไกลกว่านั้น ด้วยการหาทางเข้าไปใกล้ชิดกับเณรสอนให้มากขึ้น นั่นก็คือเข้าไปหาถึงในวัด โดยเริ่มจากการเข้าไปเรียนในโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ที่มีเณรสอนจำพรรษาอยู่ในวัดนั้น
ในขณะนั้นเณรสอนกำลังเรียนนักธรรมและเรียนวิชาของฆราวาสร่วมไปด้วย ซึ่งน้องดาวก็ทราบมาก่อนว่า “อ้ายเณรสอน” (หมายถึงเณรที่มีอาวุโสเป็นพี่หรือ “อ้าย”) เป็นคนเรียนเก่ง พอมีโอกาสเจอเณรสอนที่วัดก็ขอให้เณรสอนช่วยกวดวิชาในหลาย ๆ วิชาที่น้องดาวอยากให้ช่วย ซึ่งเณรสอนก็ไม่อาจจะบ่ายเบี่ยงได้ แต่ก็ใช้สถานที่บนศาลาวัดในเวลากลางวัน ที่ผู้คนที่มาหาพระเณรก็ใช้สถานที่ศาลาวัดนั้นเป็นที่พบปะกันอยู่แล้ว กระนั้นก็มีผู้สังเกตเห็นว่า น้องดาวกับเณรสอนดูจะมีความ “สนิทสนม” กันที่ไม่ธรรมดา เพราะน้องดาวมักจะแต่งตัวสวยเป็นพิเศษอยู่เสมอ และมีน้ำหวานทำเองไปจากบ้านไปถวายเฉพาะเณรสอนนั้นอยู่เป็นประจำ
ความสนิทสนมอันเป็นพิเศษนั้นเดินไปอย่างช้า ๆ จนถึงปีที่น้องดาวเรียนจบชั้นมัธยมปลาย และเณรสอนได้บวชเป็นพระมาได้สัก 2 พรรษา ก็มีคนมาร้องเรียนเจ้าอาวาสว่า พระสอนต้องอาบัติปาราชิก ต้องให้ลาสิกขา ท่านเจ้าอาวาสก็ร้อนใจจึงให้เรียกพระสอนมาไต่ถาม พระสอนก็ยอมรับว่าเกิดขึ้นจริง แต่เกิดขึ้นด้วยความไม่รู้และความไม่เดียงสาในเรื่องของหญิงชาย วันนั้นน้องดาวก็มาหาที่วัดในตอนบ่ายแก่ ๆ และก็ได้ให้พบที่ศาลาวัด น้องดาวมาบอกว่ายาขมสำหรับระบายท้องที่บ้านหมด ที่ร้านขายยาก็หมด แต่พ่อของน้องดาวได้เอามาถวายเป็นไทยทานพระทุกรูปเมื่อวันพระก่อน จึงน่าจะพอมีแบ่งให้บ้างไหม พระสอนก็บอกว่าของเขายังไม่ได้ใช้ เดี๋ยวจะไปหยิบที่กุฏิมาให้ น้องดาวบอกว่าถ้างั้นขอเดินไปเอาที่กุฏิจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา เพราะเดี๋ยวก็จะมืดค่ำ พระสอนคิดว่าไม่เป็นไรและคงใช้เวลาไม่นาน ก็ให้น้องดาวเดินตามไป
ที่กุฏิพระสอนให้น้องดาวรออยู่ที่ด้านนอก เมื่อพระสอนหยิบยาขมออกมาให้ น้องดาวก็บอกว่ามันอึดอัดไม่สบายมาสองสามวัน ขอเอาไปชงน้ำร้อนดื่มเลยได้ไหม ยังไม่ทันที่พระสอนจะตอบอนุญาต น้องดาวก็ถือวิสาสะเข้าไปในกุฏิเพื่อไปชงยาขมดื่ม สักครู่ก็ได้ยินเสียงน้องดาวร้องโอ๊ยออกมาจากในกุฏิ พระสอนก็รีบเข้าไปดู พบน้องดาวกำลังเอามือลูบผ้าถุงบนต้นขาที่มีน้ำเปียกอยู่ บอกว่าน้ำร้อนลวก ขอให้พระสอนเอาสีผึ้งมาช่วยทาหน่อย จากนั้นก็มีคนวิ่งมาเพราะคงได้ยินเสียงน้องดาวร้อง และเห็นภาพว่าพระสอนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูขาของน้องดาวที่ถลกผ้านุ่งขึ้นมาให้พระสอนดูแผลน้ำร้อนลวกนั้นอยู่
พระสอนบอกว่ายังไม่ได้แตะต้องอะไรน้องดาวเลย แต่ก็ไม่อาจจะต้านคำครหาของผู้คนได้ พระสอนจำต้องสึกออกมา พร้อมกับที่ต้องไปอยู่ในบ้านของน้องดาว เนื่องจากน้องดาวทึกทักว่าได้มี “อะไร” กับพระสอนแล้ว ที่สุดก็ต้องถูกจับให้เข้าพิธีผูกข้อมืออยู่กินกับน้องดาว โดยครูใหญ่ได้จัดพิธีอย่างใหญ่โต แม้ว่าพิธีจะเกิดขึ้นเนื่องด้วยเหตุที่ไม่สู้ดี แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากมาร่วมในงานแต่ง ส่วนหนึ่งคงจะเป็นด้วยบารมีของพ่อน้องดาวที่เป็นครูใหญ่มานาน และอีกส่วนหนึ่งก็คงจะมาดู “น้ำหน้า” ของคู่บ่าวสาว ที่แม้ว่าจะมาได้กันเพราะเรื่องฉาวโฉ่ แต่ก็เป็นที่กล่าวถึงกันว่าเป็นคู่บ่าวสาวที่งดงามมาก ที่ทุกคนก็อยากจะมาได้ดู
ทิดสอนเป็นพ่อบ้านที่ดีมาก แต่กระนั้นก็ไม่อาจนำพาชีวิตคู่ไปสู่ทางที่ดีตามที่หวังนั้นได้