ด้วย อิมแพ็ค เมืองทองธานีช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 บริหารงานภายใต้มาตรฐานสากล โดยแต่ละปีได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานกว่า 1,000 งาน รองรับผู้มาร่วมงานจากทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของธุรกิจไมซ์ในอนาคต นาย พอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือบางกอกแลนด์ ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จึงได้สะท้อนแนวทางการปรับตัว รวมถึงแผนการลงทุน ไว้รองรับความเป็น ไมซ์ เดสติเนชั่น ไว้อย่างน่าสนใจ พัฒนาธุรกิจสู่การเป็นฮับไมซ์ ทั้งนี้ นายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือบางกอกแลนด์ ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี กล่าวว่า มีแผนพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแผนการพัฒนาพื้นที่ใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อทำให้เกิดการท่องเที่ยวภายในพื้นที่ตลอดทั้งปี ซึ่งตั้งเป้าปี 2565 น่าจะมียอดจัดงานกลับมา 70% เทียบกับปี 2563 ที่มีการระบาดของโควิด-19 โดยมีปัจจัยหลัก คือ รัฐบาลเปิดประเทศให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ สำหรับยอดจองการจัดงานในปี 2565 มีดังนี้ เดือนกุมภาพันธ์ ประมาณ 304 งาน หากสถานการณ์ดีขึ้น ในช่วงปีนี้ทั้งปี จัดงานได้โดยไม่มีผลกระทบโควิด-19 ยอดจัดงานน่าจะมีเพิ่มมากขึ้น คาดว่าปีนี้อาจจะมีงานต่างประเทศ และชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาประมาณ 25% ต่องาน โดยการดำเนินงานได้ปรับรูปแบบเป็นออนไลน์มากขึ้น ซึ่งมีลูกค้าตอบรับการจัดงานมากกว่า 10 งาน โดยในช่วงที่ผ่านมาไม่มีการจัดงาน ทางอิมแพ็ค ได้ใช้เวลาดังกล่าวปรับปรุงอาคารสถานที่ติดตั้งจอแอลอีดีในทุกห้อง แทนการใช้จอโปรเจกต์เตอร์แบบเดิม รวมถึงขยายธุรกิจกลุ่มร้านอาหารเปิดร้านกาแฟ TCA เพิ่มที่เมกาบางนา มีร้านอาหารจีน เฮยยิน เพิ่มที่เกสร พลาซ่า ซึ่งทำให้เวลานี้มีธุรกิจอยู่ 13 แบรนด์ 29 ร้านในเครือ พร้อมกันนี้ยังวางแผนเดินหน้าทำธุรกิจ โรงเรียนสอนทำอาหารเลอโนท ที่เริ่มเปิดรับสมัครนักเรียน พร้อมทั้งเตรียมหลักสูตรต่างๆ ไว้คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการเดือนตุลาคม 2565 อีกทั้งยังเตรียมเสนอรับบริหารอาคารหอประชุมกองทัพบกแห่งใหม่ ถนนพระราม 9 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดย อิมแพ็ค ในฐานะผู้บริหารศูนย์ฯ ที่ใหญ่ที่สุดของไทยและอาเซียน มีเป้าหมายสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ หรือ MICE Attraction ของประเทศ และก้าวเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งใหม่ หรือ Tourist Destination สำหรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มไมซ์และครอบครัวในอนาคต ปรับแผนการลงทุนใหม่ โดย นายพอลล์ ยังกล่าวต่อว่า หลังจากธุรกิจประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และต้องปรับแผนการบลงทุนใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้บริษัทฯ เตรียมฟื้นโครงการลงทุนในธุรกิจไมซ์ เอ็กซิบิชั่น หรือลงทุนเพิ่มพื้นที่ศูนย์แสดงสินค้าและการจัดประชุมสัมนา (Exhibition Hall) อีก 1 เท่าตัว บริเวณที่ดินฝั่งทะเลสาบ เมืองทองธานี ติดกับพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานี ที่คาดว่าน่าจะเปิดใช้บริการได้ประมาณปี 2567 โครงการดังกล่าวนี้จะเป็นอาคารขนาด 2 ชั้น พื้นที่โดยรวมไม่ต่ำกว่า 200,000 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 6,000 ล้านบาท หากสถานการณ์โดยรวมเอื้อสำหรับการลงทุนขยายงานน่าจะลงเสาเข็มได้ในช่วงปลายปี 2565 นี้ และแล้วเสร็จในช่วงเวลาใกล้เคียงกับแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานี ที่มีแผนจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2567 ด้วย นอกจากนี้ นายพอลล์ กล่าวต่อว่า ยังมีแผนเพิ่มแม็กเนตอื่นๆ บนที่ดินกว่า 600 ไร่บริเวณริมทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่อยู่ในแผนงานเดิมอยู่แล้ว อาทิ ธุรกิจรีเทล ช้อปปิ้งมอลล์ โรงแรม อาคารสำนักงานให้เช่า ร้านอาหาร เป็นต้น โดยในส่วนของโรงแรมนั้นมีแผนรีโนเวทโรงแรมอิสตินเก่าอีกครั้งเมื่อเห็นสัญญาณโควิดปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้พัฒนาพื้นที่บางส่วนเป็นโรงเรียนสอนทำอาหาร LENOTRE (เลอโนท) แฟรนไชส์จากฝรั่งเศสแล้ว โดยปัจจุบันมีโรงแรมอยู่แล้ว 2 แห่ง ประมาณ 1,000 ห้อง คือ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค และโรงแรมไอบิส กรุงเทพ อิมแพ็ค อย่างไรก็ตามปี 2565 นี้ เชื่อว่าธุรกิจจะเริ่มทยอยกลับมา และน่าจะเห็นงานแสดงสินค้านานาชาติบ้างในช่วงครึ่งปีหลัง โดยงานเอ็กซิบิชั่นนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับปีนี้ยังคงเป็นงาน THAIFEX -Anuga Asia 2022 รวมทั้งยังมีการเตรียมพร้อมสำหรับรองรับการจัดประชุมเอเปค ปี 2565 (APEC 2020) ซึ่งน่าจะช่วยทำให้บรรยากาศของธุรกิจประชุมสัมนาระดับนานาชาติกลับมาคึกคักอีกครั้ง