ทั้ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ต่างจะใช้ความนิ่งสงบ เคลื่อนไหว ในความเงียบคิดกลเกม และกลยุทธ์ ในการทำศึกกันเอง
หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร เปิดหน้าด้วยการ ยอมให้พรรคพลังประชารัฐ มีมติขับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และ 20 ส.ส.ออกไปอยู่พรรคใหม่ “เศรษฐกิจไทย”
โดยส่งบรรดาน้องรัก ไปร่วมพรรค ร.อ.ธรรมนัส ทั้ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชาย กลายเป็นพรรคที่จะใช้ต่อรองทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์
โดยพล.อ.ประวิตร เสนอให้ พรรคเศรษฐกิจใหม่ มาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมเสนอชื่อ ให้ พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาแต่งตั้ง เป็นรัฐมนตรี นั่นหมายถึงการปรับคณะรัฐมนตรี
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ สวนทันควันด้วยการประกาศผ่านสื่อ ตั้งแต่วันแรกหลังปลด ร.อ.ธรรมนัส ออกจากพรรค ว่าไม่ปรับ ครม.และ ไม่ยุบสภา
ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ กักตัว เต็มๆ 1 สัปดาห์ ทำงานอยู่ที่บ้าน ร.1 รอ. หลังเดินทางกลับจากเยือนซาอุดิอาระเบีย ใช้ความนิ่ง สยบกระแสการเมืองร้อน เป็นช่วงที่ไม่มีการพบปะสื่อ ไม่มีการให้สัมภาษณ์ แต่สั่งให้ทีมทำเนียบฯ เสนอข่าว ผลงานการเยือนซาอุฯ ฟื้นสัมพันธ์ 33 ปี อย่าให้กระแสตก
เป็นช่วงที่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ยอมเข้ามาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล ตลอดทั้ง 2 สัปดาห์ แต่ใช้การประชุมออนไลน์แทน ตั้งแต่พ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม ทั้งที่สงขลา ชุมพร และจนมาถึงกรุงเทพฯ เขตหลักสี่ เก็บตัวเงียบ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ
เป็นช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้เข้าไปพบ พล.อ.ประวิตร เพราะเป็นช่วงกักตัวแต่คาดว่า คงได้โทรศัพท์คุยกันบ้าง แต่ดูเหมือนไม่มีความคืบหน้าในทิศทางที่ดี
เพราะมีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ยืนกราน ที่จะไม่ปรับคณะรัฐมนตรี และจะไม่เอาพรรคเศรษฐกิจไทย พรรคของ ร.อ.ธรรมนัส มาร่วมรัฐบาล
ด้วยรู้ดีว่า หากยอม พล.อ.ประวิตร ในการดึงพรรคเศรษฐกิจไทย มาร่วมรัฐบาลก็จะทำให้เสียเปรียบ กลายเป็นรอง ตลอดไป
โดยยืนยันที่จะไม่ปรับครม. และจะอยู่เป็นรัฐบาล เสียงปริ่มน้ำ และ พร้อมจะเจอเกมในสภา และพร้อมยุบสภา ได้ทุกเมื่อ
ขณะที่พรรคเศรษฐกิจไทยนั้น ดูจะมีปัญหาภายใน โดย ร.อ.ธรรมนัส แสดงตนชัดเจน ขึ้นว่าเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของพรรค ไม่ใช่พรรคของ พล.อ.ประวิตร เช่นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นพรรคสาขา 2 ของ พล.อ.ประวิตร จนมีวาทกรรม ที่ว่าพล.อ.ประวิตร ขี้ม้า สองตัว ในการสู้ศึก เพื่อกดดัน ต่อรองกับ พล.อ.ประยุทธ์
เพราะเดิม พล.อ.ประวิตร เป็นคนประกาศในที่ประชุมพรรคเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ว่าจะให้ พล.อ.วิชญ์ มาเป็นหัวหน้าพรรค และให้ อภิชัย เตชะอุบล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นเลขาธิการพรรค และ พล.ต.อ.พัชรวาท มาเป็นที่ปรึกษาพรรค
แต่มีกระแสข่าวว่า อาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเลี่ยงความผิดทางกฎหมายเพราะ ร.อ.ธรรมนัส ไม่ต้องการให้พรรคนี้ถูกมองว่าเป็นพรรคของ พล.อ.ประวิตร และถูกกล่าวหาว่ามีการครอบงำพรรค
จน ร.อ.ธรรมนัส ที่เพิ่งเดินทางกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ และ อยู่ระหว่างการกักตัวก็รีบออกมาปฏิเสธข่าว การต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี แลกกับการนำพรรคใหม่ 18 ส.ส. ร่วมรัฐบาล
พร้อมถาม คนที่ไปต่อรอง “มีสิทธิ์อะไร” หรือใครมอบอำนาจ ให้ไปต่อรองในเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นนั้น ยืนยันว่าที่แยกตัว ออกมา เพราะตั้งใจทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาประเทศชาติ ยึดมั่นใน ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ไม่มีเวลามาเล่นเกมการเมือง หรือ ต่อรองอำนาจใดๆแบบไร้สาระ
จนทำให้เกิดกระแสข่าวความขัดแย้งภายในการพรรคเศรษฐกิจไทย ที่มีกำหนดจะประชุมใหญ่เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค และแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้
แม้ว่า ร.อ.ธรรมนัส จะเคารพนับถือและใกล้ชิดสนิทสนม กับ พล.อ.วิชญ์ และ พล.ต.อ.พัชรวาท มายาวนาน และ มีอุดมการณ์เป้าหมายเดียวกันก็ตาม
แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือการที่ร.อ. ธรรมนัส โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความดีใจที่เห็นประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ หลังผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง โดยระบุว่านี่คือประชาธิปไตย
โดยเฉพาะการตบท้ายว่า The enemy of my enemy is my friend ศัตรูของศัตรูคือมิตร ที่เสมือนเป็นการประกาศศึกกับศัตรูอย่างชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ
ที่ทำให้มีการตีความว่าศัตรูของ ร.อ.ธรรมนัสคือใคร หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่
และถือเป็นการเปิดหน้าสู้ คู่แข่งอย่างเต็มรูปแบบ ที่อาจสะท้อนได้ว่า จะไม่ร่วมรัฐบาล ไม่สนับสนุนรัฐบาล ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ และ พร้อมที่จะวัดพลังกันในสภาจนกว่าจะยุบสภา และเลือกตั้งใหม่
เปิดหน้าสู้กันอีกครั้ง เรียกได้ว่าจาก ศึกพี่น้อง 3 ป. ลามมา เป็นศึกสายเลือด จปร. ที่ส่อเค้าว่า จะตาต่อตาฟันต่อฟัน แตกหักย่อยยับกันไปข้างหนึ่ง เลยทีเดียว