เหมือนโดนหมากปิดล้อมให้จนกระดาน สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองทั้งในและนอกรัฐบาลบีบคั้นอย่างหนักหน่วง
หลังกลศึกของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่แตกทัพออกไปตั้งก๊กใหม่ แม้หัวหน้าหมู่ตึกพลังประชารัฐอย่าง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะพยายามชี้นำว่ายังเป็นเนื้อเดียวกัน ตามกลยุทธ์ “แตกแบงก์พัน” โดยยืนยันว่า “พรรคผมทั้งนั้น”
ทว่าหลังพลังประชารัฐพ่ายสมรภูมิที่หลักสี่อย่างย่อยยับ ก็ปรากฎวาทกรรมของ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่ว่าศัตรูของศัตรู คือมิตร อันเป็นสัญญาณที่ถูกตีความไปคนละทางกับที่ “บิ๊กป้อม”พยายามสื่อสารออกมาอย่างสิ้นเชิง
อีกทั้งก่อนหน้านี้มีปฏิบัติการของ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ไปช่วยขยายความต่อยอดข้อร้องเรียนของกลุ่มผู้พิพากษา ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.ให้สอบ “บิ๊กตู่” พร้อมด้วย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในความผิดตามมาตรา 157 กรณีแต่งตั้ง สราวุธ เบญจกุล อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักงานศาลยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานของรัฐ และเอกชนหลายตำแหน่ง เหมือนจะส่งให้ “บิ๊กตู่” ขึ้นเขียงซ้ำรอย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องหลุดจากเก้าอี้จากปมโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ซึ่ง “เรืองไกร”นั้นเพิ่งดีดตัวออกจากพลังประชารัฐตามหลัง ร.อ.ธรรมนัสไปติดๆ ฝุ่นยังไม่ทันจางก็ชักกระบี่หันมาจิ้มหลัง “บิ๊กตู่” แทบจะทันที แม้ฟังน้ำเสียงของ “วิษณุ” ซือแป๋ด้านกฎหมายจะไม่อีนังขังขอบกับกรณีที่เกิดขึ้นนัก ขณะที่ “บิ๊กตู่”เองก็สดับตรับฟังความเคลื่อนไหวดังกล่าวด้วยท่าทีที่เรียบเฉย ขณะที่ทีมตึกไทยคู่ฟ้าก็ประเมินน้ำหนักแล้วว่าไม่เพียงพอที่โค่นเขาลงจากบัลลังก์ได้
แต่ก็สะท้อนถึงการยกระดับเล่นเกมแรง ที่หากจะเล่นลิเกแตกทัพเพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เหตุใดต้องเข่นฆ่ากันให้สมจริงเพียงนี้ ทำให้มองไปที่เบื้องหลังเบี้ยอย่าง “เรืองไกร” คิดอะไรอยู่!!?
นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์รอบตัวของ “บิ๊กตู่” ยิ่งอึมครึม วงวิเคราะห์การเมืองต่างฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่า ประมุขแห่งตึกไทยคู่ฟ้า เหลือทางออกเพียง 4 ทาง
ทางแรก ยอมงอ ด้วยการเปิดเจรจาประนีประนอมกับกลุ่มก๊กของร.อ.ธรรมนัสและนำไปสู่การปรับครม.ครั้งใหญ่
ทางที่สอง ลาออก เพื่อเปิดทางให้เปลี่ยนตัวนายกฯหรือเปลี่ยนขั้วทางการเมือง
ทางที่สาม ถ้าวุ่นวายมาก ก็ยุบสภาฯ
และทางที่สี่ ปฏิวัติซ้อน ซึ่งไม่ง่าย และฝ่ายค้าน โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็ออกมาตีปลาหน้าไซ
ตามมาด้วย “พี่โทนี่”ทักษิณ ชินวัตร ที่ก็ออกมาดับข่าวปฏิวัติด้วยตัวเอง โดยบอกว่า ไม่น่าจะมีปฏิวัติ พร้อมกับประเมินสถานการณ์การเมือง โดยบอกว่า
“ไม่คิดว่า นายกฯประยุทธ์ จะได้อยู่ยาวนานขนาดนั้น การเมือง ไม่เกินกลางปีต้องเลือกตั้ง แต่จะเลือกแบบไหนคิดว่า สนิมเกิดจากเนื้อในตน โอกาสที่จะเกิดเลือกตั้งใหม่ อย่างช้า กลางปีน่าจะจบ”
ขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ก็ออกมาวิเคราะห์ว่า “บิ๊กตู่” จะเลือกทางออกด้วยการยุบสภา แม้ยุบสภาคราวนี้ “บิ๊กตู่” อาจจะไม่ได้รับคะแนนสูงสุดเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้ แม้ว่าจะมีส.ว. 250 คนค้ำอยู่ก็ตาม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าฝ่ายคุมอำนาจหาตัวแทนเข้ามาได้
ดูเหมือนว่า ทั้งเพื่อไทย ทักษิณ และณัฐวุฒิ จะพยายามตีกรอบให้ “บิ๊กตู่” ตัดสินใจยุบสภา ขณะที่การส่งสัญญาณเรื่องปฏิวัติรัฐประหาร ก็เป็นเพียงการปรามมวลชนในฝั่งของตนเองไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การรัฐประหารเท่านั้น
ท่ามกลางฝุ่นควันทางการเมืองที่ตลบอบอวล กกต.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร แจ้งประกาศจำนวนราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรและการเตรียมความพร้อมในการแบ่งเขตเลือกตั้งส.ส.แล้ว เพื่อเตรียมพร้อมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับเตรียมพร้อมเลือกตั้งใหม่ แม้จะเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน หรือไทม์ไลน์ปกติของกกต. ที่รับลูกหลังจากสำนักทะเบียนกลางกระทรวงมหาดไทยส่งประกาศสำนักทะเบียนกลางเรื่องจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 แต่ก็กระชุ่นให้บรรดานักการเมืองแต่งตัวรอเลือกตั้ง ที่เชื่อว่าจะมาเร็วกว่าที่คิด
กระนั้น ไม่ว่าจะเผชิญแรงเสียดทานจากทั้งจากศึกนอกและศึกใน นอกจากการยืนกราน “ไม่ปรับครม. –ไม่ยุบสภาฯ” ก่อนหน้านี้แล้ว “บิ๊กตู่” ก็เลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่ต่อความรอยร้าวที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่เขาเลือกที่จะนิ่ง เหมือนเมื่อครั้งที่ถูกท้าทายจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่แล้ว ที่เมื่อเพลี่ยงพล้ำ ก็เดินกลยุทธ์ “สงบสยบความเคลื่อนไหว” ในขณะเดียวกันก็เลือกที่จะหันไปรักษา “มิตร” อย่างก๊กประชาธิปัตย์เอาไว้ ด้วยการส่งสัญญาณเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครออกมา หลังจากที่ประชาธิปัตย์ออกมากดดัน
แต่ถึงอย่างนั้นหลายฝ่ายก็ยังไม่เชื่อว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แม้แต่ตัวว่าที่ผู้สมัครเองก็ยังรู้สึกหวั่นไหว แม้จะมีการประกาศไทม์ไลน์ในเดือนพฤษภาคมออกมา เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเพียงการลดแรงเสียดทานจากก๊กประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่หากเมื่อสถานการณ์เดินไปข้างหน้าใกล้ถึงเงื่อนเวลาเดือนพฤษภาคม อาจมีปัจจัยอื่นหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นหรือไม่
ด้วยบรรดาเซียนการเมืองต่างประเมินกันว่า ความพ่ายแพ้ที่หลักสี่จะทำให้รัฐบาลประวิงเวลาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครออกไป แต่ในทางกลับกันก็ดูเหมือนว่า “บิ๊กตู่” จะยืนมองความพ่ายแพ้ของพลังประชารัฐอย่างใจเย็น แม้จะมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนนตรีก็ตาม จนผู้คร่ำหวอดทางการเมืองอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่จะเป็น “ลับ ลวง พราง” ที่ต้องการทิ้งพลังประชารัฐ เพื่อรอวันตั้งพรรคใหม่
แต่ถึงอย่างนั้น ในความนิ่งของ “บิ๊กตู่” ที่ใครก็ไม่อาจอ่านใจหรือคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไร จะไปต่อหรือพอแค่นี้ กับเส้นทางการเมือง ที่หากเขาจะไปต่อก็ต้องฟื้นพลังประชารัฐ ภายใต้ข่าวความเคลื่อนไหวว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อพรรค และโลกโก้พรรคใหม่ ที่ว่ากันว่า โลโก้ของพรรคเดิมนั้น ว่ากันว่าลักษณะคล้ายกับเป้ากระสุนปืน ที่ทำให้ตกเป็นเป้าถูกยิงทางการเมือง
และหากเขาไม่ไปต่อ ประกาศ “ผมพอแล้ว” ตามรอย “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และยุบสภา ก็เท่ากับล้มกระดาน ไม่ได้แก้กฎหมายเลือกตั้ง ต้องกลับไปเลือกตั้งในกติกาเดิม !!
ทว่าในความเงียบ ในความนิ่ง กลับปรากฎรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของ “บิ๊กตู่” ภายใต้สถานการณ์ที่ตกเป็นรองทุกขุม เหตุใดยังยิ้มได้ หรือนี่จะเป็น “กลยุทธ์ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ที่นิ่ง ไม่ได้นิ่งอย่างยอมจำนน แต่เป็นการนิ่งที่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม