วันที่ 31 ม.ค.65 ความคืบหน้าคดีที่นายอนุสรณ์ บัวประเสริฐ อายุ 37 ปี หนุ่มลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อหม้อไฟชื่อดัง ย่านพระราม 3 ก่อเหตุสุดอุกอาจ ใช้อาวุธปืนสงครามก่อเหตุ ยิงในวันเกิดเพื่อนรุ่นพี่ มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน หลังไม่พอใจถูก นายสมบูรณ์ แซ่กัง อายุ 50 ปี คนรู้จัก ตบศีรษะและรุมด่าสั่งสอนเนื่องจากประพฤติตัวไม่เหมาะสมทำเสียงเอะอะโวยวาย เหตุเกิด ในบ้านพัก ซอยกรุงธนบุรี 6 เมื่อวันที่ 30 ม.ค.65 ที่ผ่านมา หลังจากตำรวจตามไปจับกุมนายอนุสรณ์ ได้ที่จังหวัดนครราชสีมาก็ได้นำตัวมาสอบปากคำที่ สน.สำเหร่ เพื่อทราบถึงพฤติการณ์การก่อเหตุ รวมทั้งปืนที่ใช้ก่อเหตุ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี
ต่อมา พลตำรวจตรีมานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 ได้นำกำลัง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ประสาน มูลนิธิปอเต็กตึ้ง นำนักประดาน้ำมางมค้นหาอาวุธปืน สงคราม ที่ผู้ต้องหาได้โยนทิ้งน้ำในคลองรางแม่น้ำ หรือ คลองบางมด และ คลองบางระนก ถนนเลียบทางด่วนกาญจนาภิเษก แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน พื้นที่ สน.ท่าข้าม โดยเป็นการโยนจากบนสะพานข้ามคลองตามคำบอกเล่าของผู้ต้องหา และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่ภาพภาพผู้ต้องหามีลักษณะเสียหลัก อยู่บนสะพานข้ามคลองบางระนก
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง นำนักประดาน้ำก็พบปืนของกลางอยู่ในคลองบางระนก สภาพห่อด่วยด้วยถุงพลาสติกสีดำ โดยพลตำรวจตรีมานพ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นชนิดเอ็ม 16 เอ 1 (M16-A1) ซึ่งต้องนำส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน เพื่อพิสูจน์ทราบยี่ห้อ รุ่นของปืนให้แน่ชัด โดยเฉพาะการตรวจสอบเทียบเคียงกับปลอกกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุว่าถูกยิงออกจากปืนนี้หรือไม่ เพื่อเอาไปประกอบสำนวนดำเนินคดี หากผลการตรวจพิสูจน์ระบุว่าปืนของกลางเป็นอาวุธสงคราม ก็จะดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหามีเอาสงครามไว้ในครอบครองต่อไป ส่วนจะนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพหรือไม่นั้น เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา เมื่อพนักงานสอบสวนทำสำนวนแล้วเสร็จ ก็จะนำตัวไปขออำนาจศาลธนบุรีฝากขังต่อไป ซึ่งมีกำหนดภายในวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.65)
ส่วนการสอบสวน นายอนุสรณ์ รับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง เนื่องจากโกรธแค้นกลุ่มผู้ตาย ที่ด่าทอและตบหน้ากลางงานปาร์ตี้วันเกิด จึงกลับไปบ้านเพื่อเอาอาวุธปืนสงคราม ที่บ้านในซอยประชาอุทิศ 72 โดยอ้างว่าเป็นปืนที่เพื่อนนำมาฝากไว้ เมื่อ 3 เดือนก่อน มาก่อเหตุยิงล้างแค้น โดยยิงไปจำนวน 4 นัด เหลืออีก 1 นัด ที่ติดลำกล้องไว้ และได้ดึงสไลด์ลูกออกมา ซึ่งหลังจากเกิดเหตุได้นำปืนไปทิ้งบริเวณดังกล่าว ก่อนจะขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปยังจังหวัดนครราชสีมา