ผู้เชี่ยวชาญชี้ระบบเก่าใกล้หมดอายุการใช้งานมีความเสี่ยงในทุกขณะ ทั้งไม่มีระบบตรวจเช็ก-สัญญาณเตือนอัตโนมัติ ขณะการปิดเปิดวาล์วยังใช้นักประดาน้ำดำน้ำลงไปปิดเมื่อเกิดเหตุต้องใช้เวลานานมาก จี้ภาครัฐสอบสวนสาเหตุจริงจังทั้งต้องรื้อระบบความปลอดภัยป้องกันในทุกโครงการน้ำมันกลางทะเล เพราะหากเกิดเหตุนั่นหมายถึงความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ประชาชน เมื่อวันที่ 30 ม.ค.65 นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุ "จุดอ่อนที่ทำให้ท่อน้ำมันใต้ทะเลรั่ว 1.ระบบทุ่นรับน้ำมันกลางทะเลและท่อใต้ทะเลของบริษัท SPRC ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2538 จะหมดอายุการใช้งานโดยต้องรื้อเปลี่ยนใหม่เกือบหมดภายในปี 2568 โดยใช้งานมา 26-27 ปีแล้ว 2.มาตรการลดผลกระทบและตรวจสอบเพื่อป้องกันน้ำมันรั่วลงทะเลของบริษัท สตาร์ปิโตรเลี่ยมรีไฟนิง จำกัด ที่เสนอในรายงานอีไอเอและดำเนินการมาตลอดคือ 2.1.กำหนดให้ต้องมีแผนฝึกซ้อมสถานการณ์ฉุกเฉินน้ำมันหกรั่วไหลร่วมกับหน่วยงานภายนอกครึ่งปีหลังทุกปี 2.2.ติดตั้งอุปกรณ์ลดการสึกกร่อนของท่อน้ำมันดิบใต้ทะเล หรือระบบ Cathodic Protection ซึ่งเป็นการทำให้ท่อเป็นประจุลบเพื่อลดปริมาณอิออนบวกใต้ทะเลที่จะมาทำให้เกิดการกัดกร่อนของท่อรับน้ำมันและทำการตรวจสอบทุก 3 เดือน 2.3.ตรวจสอบระบบท่อน้ำมันใต้ทะเลโดยใช้ Remote operation Vehicle หรือระบบ ROV ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ลงไปตรวจสอบใต้ทะเลร่วมกับนักประดาน้ำที่ต้องดำน้ำลงไปตรวจสอบทุก 3 เดือน 2.4.ทำการตรวจสอบท่อต่างๆ ทั้งบนทุ่นและใต้ทุ่นทั่วไปเพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลของน้ำมัน 3.จุดอ่อนของการเกิดท่อน้ำมันใต้ทะเลรั่วหรือแตกคือ 3.1.ท่อและวาล์วเปิดปิดน้ำมันใต้ทะเลเริ่มเสื่อมสภาพใกล้หมดอายุการใช้งานแล้วมีโอกาสแตกหรือรั่วได้ทุกขณะ 3.2.ยังไม่มีระบบตรวจเช็คหรือสัญญาณเตือนอัตโนมัติว่ามีเหตุน้ำมันรั่วลงจุดไหนของระบบ อาศัยความมั่นใจว่าจะไม่เกิดการรั่วอย่างแน่นอนเป็นหลัก 3.3.การเปิดปิดวาล์วในขณะที่มีการรับน้ำมันดิบกลางทะเลยังต้องใช้นักประดาน้ำดำลงไปเพื่อเปิดปิดวาล์ว ดังนั้น เมื่อทราบว่าน้ำมันรั่วแล้วกว่าจะลงไปใต้ทะเลเพื่อปิดวาล์วต้องใช้เวลานานมาก หลักการคือต้องติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเปิดปิดการจ่ายน้ำมันโดยใช้ระบบควบคุมสั่งการจากทุ่นลอยน้ำ 3.4.ระบบการตรวจสอบทั้งหมดดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของโรงงานเองซึ่งอาจทำเป็นงานประจำและถูก Audit จากหน่วยงาน ABS หรือสถาบัน American Bureau of shipping ทุก 5 ปี ซึ่งครั้งสุดท้ายตรวจสอบเมื่อปี 2563 และจะมีการตรวจสอบอีกครั้งในปี 2568 ซึ่งนานเกินไปสำหรับระบบท่อที่กำลังจะครบอายุการใช้งาน 4.ภาครัฐต้องสอบสวนถึงสาเหตุและการดำเนินการตามมาตรการในรายงานอีไอเออย่างจริงจัง ไม่ควรเชื่อแต่ภาคเอกชนเท่านั้นและควรรื้อระบบความปลอดภัยของการป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันลงทะเลของทุกโครงการที่มีการรับน้ำมันกลางทะเลทั้งหมด เนื่องจากเหตุการรั่วไหลของน้ำมันดิบครั้งนี้ถือว่าเป็นอุบัติภัยร้ายแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,การท่องเที่ยว,อาชีพประมง,อา ชีพผู้ประกอบการท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าอาหารทะเลรวมทั้งความเชื่อมั่นทั้งของนักลงทุนและประชาชนในพื้นที่ด้วย