ลีลาชีวิต/ทวี สุรฤทธิกุล คนไทยแต่ละคนต่างก็มีวิธีแสดงความรักชาติแตกต่างกันไป จ่าสมจินต์ที่ผมเรียกว่า “พี่จ่า” ก็เป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่รักชาติมาก ๆ ซึ่งผมได้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อครั้งที่ร่วมเดินทางไปฉลองวาระครบรอบ 10 ปีสัมพันธไมตรีไทยจีน เมื่อ พ.ศ. 2528 การไปเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและมีคุณค่าแก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก แต่เดิมที่ประเทศจีนปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ที่นำโดยเหมาเจ๋อตุง มาตั้ง พ.ศ. 2492 มีความสัมพันธ์กับไทยไม่ค่อยดีนัก เพราะไทยถือว่าการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อการปกครองของประเทศไทย โดยรัฐบาลจีนคือผู้สนับสนุนขบวนการโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และทำการสู้รบเพื่อแบ่งแยกดินแดนไทยมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ไม่มีการติดต่อค้าขายและการเดินทางติดต่อกันระหว่างสองประเทศนี้ และถือว่าการคบกับคอมมิวนิสต์มีความผิดตามกฎหมายอย่างร้ายแรง จนกระทั่ง พ.ศ. 2518 ประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทั้งเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ได้ถูกคอมมิวนิสต์เข้ายึดครอง พอดีกับที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านก็ได้เปลี่ยนนโยบายไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้หมดอิทธิพลไปจากภูมิภาคนี้แล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการที่ไทยจะถูกคอมมิวนิสต์ที่รายรอบอยู่นั้นเข้ามารุกรานและยึดครองดินแดน การไปขอความช่วยเหลือจากจีนจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะรอดพ้นจากการถูกรุกรานนั้นได้ ซึ่งก็ได้รับผลดีตามที่รัฐบาลไทยต้องการ คือจีนได้ระงับความช่วยเหลือแก่พรรคคอมมิวนิสต์ไทย รวมทั้งได้เป็นเกราะป้องกันให้คอมมิวนิสต์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามารุกรานประเทศไทยอีกด้วย แต่คุณูปการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือ ทำให้มีการติดต่อค้าขายและเดินทางไปมาระหว่างคนจีนกับคนไทย ที่ทำให้คนจีนกับคนไทยมีความสุขมาก ทั้งยังได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน คณะที่เดินทางไปครั้งนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะมีจำนวนคนที่ร่วมเดินทางถึง 30 กว่าคน ไม่รวมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศไทย ที่ร่วมไปด้วยอีก 5 - 6 คน ประกอบด้วยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ผู้เป็นหัวหน้าคณะ ผู้ใหญ่ในพรรคกิจสังคมและ ส.ส.ร่วม 20 ท่าน ผู้ติดตามและคณะทำงานที่ไปช่วยดูแลในเรื่องต่าง ๆ อีก 10 คน และสื่อมวลชนอีก 3 คน ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศจีนรวม 5 วันนั้นได้รับการดูแลอย่างดียิ่ง แสดงถึงการให้เกียรติแก่ประเทศไทยอย่างสูง ด้วยความจริงใจอย่างที่สุด ทุกเช้าทุกคนจะมารวมกันที่ “ตำหนักเตียวยู่ไถ่” ที่ทางการจีนจัดให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์และแขกวีไอพีเข้าพัก (แต่เดิมเป็นพระราชอุทยานเพื่อฮ่องเต้ได้เสด็จมาตกปลาในหน้าร้อน ชมบึงบัวและดอกไม้นานาพรรณ) เพื่อทานอาหารเช้าที่ทางการจีนจัดเลี้ยงทุกเช้าอย่างหรูหรา จากนั้นก็ออกเดินทางไปตามกำหนดการที่จัดไว้ในแต่ละวัน ที่รวมถึงการไปย้อนรำลึกพิธีลงนามเปิดสัมพันธไมตรีไทยจีน เมื่อ 1 กรกฎาคม 2518 ณ ที่ทำการรัฐบาลจีน ที่ตั้งอยู่ด้านข้างจัตุรัสเทียนอันเหมิน ใกล้ ๆ ศาลาประชาคมแห่งชาติ ที่มีขนาดใหญ่โตมหึมามาก ซึ่งในครั้งนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ลงนามร่วมกับนายกรัฐมนตรีของจีน นายโจวเอินไหล แต่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจากนายเติ้งเสี่ยวผิง เสร็จแล้วมีการถ่ายรูปร่วมกัน การถ่ายรูปในพิธีการของรัฐเป็นเรื่องใหญ่มากของการต้อนรับแบบจีน ผมเองที่มีความรู้เรื่องเทคนิคการถ่ายรูปมาบ้างก็ยังอด “ทึ่ง” ในความเนี้ยบของกระบวนการถ่ายภาพนั้นไม่ได้ ตั้งแต่การจัดสถานที่ที่ใช้ห้องโถงขนาดใหญ่ ฉากหลังสีแดงอ่อนๆ ดูมีมิติด้วยการฉายภาพแบ็คกราวนด์เป็นลายดอกเหมย การจัดแสงไม่ได้ใช้สปอตไลต์ส่องตรงนั้นตรงนี้ให้รำคาญตา แต่ใช้แสงจากหลอดไฟตามเพดานและผนังห้องเท่านั้น (ซึ่งน่าจะคำนวณค่าแสงมาแล้วเป็นอย่างดี) แถวยืนถ่ายรูปเป็นแท่นเหล็กวางยาวไปตามแนวห้องโถง ซ้อนกันเป็น 4 ชั้น แต่ละชั้นยืนได้ราว 30 คน ถ้ารวมที่ยืนข้างหน้าด้วยอีกแถวหนึ่ง ก็จะเป็นที่ยืนถ่ายรูปในครั้งนั้นประมาณ 150 คน แต่ทางเจ้าหน้าที่จีนก็จัดการให้แขกทุกคนเข้าประจำที่ได้อย่างเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ ไม่มีการส่งเสียงดังแบบที่คนจีนชอบทำ และการถ่ายรูป 10 กว่าช็อตนั้นเสร็จลงภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที หลังจากเสร็จพิธีการและงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการที่ใช้เวลาไป 2 วัน พวกเรามีเวลาว่างอยู่ราว 3 วัน ทางการจีนก็จัดให้ไปเที่ยวในสถานที่ใกล้ ๆ กรุงปักกิ่งหลายแห่ง ทั้งกำแพงเมืองจีนที่เพิ่งบูรณะเสร็จไปหลายส่วน และเปิดให้คณะของเราเข้าไปชมได้เป็นคณะแรก ๆ ซึ่งผมกับ ส.ส.อีกหลายคนรวมถึงพี่จ่าด้วยนั้น ได้ขึ้นขี่อูฐเดินวนเวียนไปมาหน้าซากกำแพงเตี้ย ๆ อย่างสนุกสนาน ไปชมโรงงานผลิตถ้วยชามที่ใหญ่ที่สุดในโลก สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ที่ยังอยู่ในระหว่างขุดสำรวจ ซึ่งตอนที่เราไปชมยังขุดไปไม่ถึงชั้นที่มีเหล่าทหารตุ๊กตาดินเผาที่มาเป็นที่ฮือฮาในตอนหลัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ “อัครมหาพระราชวังกู้กง” กลางกรุงปักกิ่ง ที่เป็นพระราชวังแห่งสุดท้ายของราชวงศ์ชิง ก่อนที่จะสิ้นอำนาจใน พ.ศ. 2453 ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์พูดติดตลกตอนที่ไปเดินเที่ยวชมว่า “อีกปีหนึ่งต่อมา (พ.ศ. 2454) คนชื่อคึกฤทธิ์ก็มาเกิด” พี่จ่าดูเหมือนจะตั้งใจมาก ๆ กับการเดินทางไปจีนในครั้งนั้น ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของพี่จ่ากว่าครึ่งอัดแน่นไปด้วยบรรดาของที่ระลึกที่จะเอาไปเป็นของฝากให้ผู้คนที่จะได้ไปพบปะตามพิธีการและสถานที่ต่าง ๆ มีทั้งรูปปั้น พระเครื่อง และเครื่องรางที่พี่จ่าบอกว่า “คนจีนก็เล่นของมากเหมือนกัน” ส่วนหนึ่งเป็นพระสังกัจจายน์หรือ “พระแป๊ะยิ้ม” ที่พี่จ่าบอกว่าคนจีนน่าจะชอบ ถ้าจำไม่ผิดพี่จ่าได้มอบให้เติ้งเสี่ยวผิงไปด้วย 1 องค์ แต่ที่ผมได้เห็นแล้วต้องประหลาดใจมาก ๆ ก็คือ “ผ้ายันต์” เขียนด้วยภาษาขอม อย่างที่เรียกว่า “ลงอักขระ” กว้างยาวสักศอกคูณศอก ม้วนใส่กระบอกกระดาษเล็ก ๆ สัก 40 กระบอก ที่พี่จ่าจะถือใส่ย่ามไปตลอดการเดินทาง วันละ 10 กระบอกบ้าง 20 กระบอกบ้าง และวันสุดท้ายก็ยังเหลือมาแจกให้เจ้าหน้าที่จีนที่มาส่งตรงห้องวีไอพีอีกจำนวนหนึ่ง แกบอกว่าคนจีนน่าจะชอบ เพราะแกสังเกตเห็นว่าคนจีนจะมีป้ายผ้าเขียนตัวอักษรมงคล มาติดไว้ทั้งนอกและในบ้านในเทศกาลต่าง ๆ เช่น ตรุษจีน หรือพิธีไหว้เจ้าต่าง ๆ อยู่เสมอ ผ้ายันต์นี้ก็เป็นอักษรมงคลเช่นกัน คนจีนก็น่าจะชอบและเอาใช้ในโอกาสที่เป็นมงคลต่าง ๆ นั้นได้ โดยเวลาที่พี่จ่าจะให้ผ้ายันต์เหล่านั้นแก่ใคร แกจะขอให้ล่ามของกระทรวงการต่างประเทศช่วยแปลให้ผู้ที่รับเข้าใจด้วยว่าใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคนจีนที่ได้รับไปจะตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก (ท่านทั้งหลายที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว คงจะเคยทราบว่าทัวร์จีนจำนวนมากชอบที่จะไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวัดหรือสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย และใช้จ่ายเงินในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นจำนวนมากเช่นกัน นี่ก็น่าจะเป็นไปตามแบบที่พี่จ่าแกคิดไว้ หรือบางทีอาจจะเป็นอานิสงส์จากที่พี่จ่าไป “แพร่เชื้อไว้” เมื่อ พ.ศ. 2528 นั้นก็ได้ - ฮา) ยิ่งไปกว่านั้นคนจีนยังชอบมารุมล้อมพี่จ่า เมื่อทราบว่าพี่จ่า “มีของดี” ซึ่งก็คือของที่ระลึกที่นำมาเหล่านั้น บางคนก็มาขอดูพระที่พี่จ่าห้อยคอ เหมือนอย่างที่นักเลงพระในเมืองไทยชอบทำกัน ซึ่งพี่จ่าก็ยินดีให้ชื่นชมตามโอกาสที่เหมาะสม (หมายถึงไม่ใช่ในสถานที่สาธารณะ แต่มักจะมาเยี่ยมชมกับแกที่ห้องพักหรือในเวลาที่เป็นส่วนตัว) แต่แล้วคนที่มาชมก็ต้องทึ่งกลับไป เพราะในบรรดาพระเครื่อง 3 องค์ที่พี่จ่าห้อยมาบนสร้อยนะโม ของดีคู่เมืองนครศรีธรรมราชนั้น นอกจากจะมีหลวงปู่ทวดและพ่อท่านคล้าย ที่ประกบอยู่ซ้ายขวาของสายสร้อยแล้ว ตรงกลางก็เป็นเหรียญบาทที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หุ้มกรอบสเตนเลสแขวนอยู่ตรงกลางล่างสุดของสร้อยด้วยเท่านั้น พี่จ่านั้นอายุยืนยาวและอยู่มาได้ถึงอายุกว่า 90 ปี ผมเคยถามลูกศิษย์ที่นครศรีธรรมราชว่าใครรู้จักจ่าสมจินต์บ้าง ซึ่งผมได้ฝากบางคนที่รู้จักและรู้ถึงบ้านที่อยู่ของพี่จ่าให้ไปเยี่ยมแกแทนผมด้วย ทำให้ผมทราบว่าพี่จ่าได้เดินทางไปสถิต ณ สัมปรายภพนั้นแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณของพี่จ่าได้พบความสุขสงบ ท่ามกลางดวงวิญญาณของบุคคลที่พี่จ่าเคารพ “บูชา” นั่นเทอญฯ