ดนตรี / รุ่งฟ้า ลิ้มหัสนัยกุล
ขณะที่เกิร์ลกรุ๊ปเกือบทั้งหมดยุค 1950-1960 มาในทางสุภาพอ่อนหวาน เดอะ รอนเน็ทท์ส ที่นำโดย รอนนี สเปคเตอร์ เลือกที่จะแตกต่าง-ซึ่งกลายเป็นแม่แบบให้กับนักร้องหญิงรุ่นต่อๆมา
"พวกเราไม่เคยกลัวที่จะเร่าร้อน เพราะนั่นคือกิมมิคของเรา” เธอเขียนไว้หนังสือบันทึกความทรงจำ Be My Baby: How I Survived Mascara, Miniskirts, and Madness ที่ออกจำหน่ายเมื่อปี 2004 “พอเราเห็น เดอะ ชิเรลล์ส เดินขึ้นเวทีด้วยชุดราตรีสั้นตัวกว้าง เราก็จะมาอีกขั้ว บิดตัวไปมาในชุดกระโปรงรัดรูปสุดๆเท่าที่จะหาได้ แล้วเราก็ขึ้นเวที ถลกกระโปรงให้ร่นขึ้นอีกเพื่อโชว์เรียวขาของเรา”
ไม่ใช่แค่นั้นหรอกที่ทำให้ เดอะ รอนเน็ทท์ส “เร่าร้อน” แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือเสียงร้องของ รอนนี่ ที่ผสมผสานความไร้เดียงสา, ความเย้ายวน, ความอ่อนโยนนุ่มนวล และความแข็งแกร่ง เอาไว้ด้วยกัน....กลมกล่อม และมีเสน่ห์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการเอาตัวรอดในแบบที่นักร้องหญิงกลุ่มอื่นไม่มี รอนนี สเปคเตอร์ หรือชื่อจริง เวโรนิกา อีเวทท์ กรีนฟีลด์ เกิดและเติบโตในย่านสแปนิช ฮาร์เล็ม, นิวยอร์ก ซิตี เธอกับพี่สาวและลูกพี่ลูกน้องรวมตัวกันทำวงชื่อ เดอะ ดาร์ลิ่ง ซิสเตอร์ส ตั้งแต่วัยรุ่น ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เดอะ รอนเน็ทท์ส และมีอัลบั้มแรกออกมาในปี 1961 แต่มาประสบความสำเร็จสูงสุดเมื่อการร้องของเธอเป็นที่ถูกใจ ฟิล สเปคเตอร์ โปรดิวเซอร์คนดังเจ้าของเทคนิคการบันทึกเสียงที่เรียกว่า “วอลล์ ออฟ ซาวนด์” อันโด่งดัง เซ็นสัญญาพวกเธอเข้าสังกัด ฟิลเลส เรคอร์ดส์ ของเขาเมื่อปี 1963
และเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือตำนาน แม้ เดอะ รอนเน็ทท์ส จะมีอัลบั้มเพียงชุดเดียวก็ตาม นั่นคือ Presenting the Fabulous Ronettes Featuring Veronica
เดอะ รอนเน็ทท์ส มีเพลงฮิตขึ้นหิ้งหลายเพลง ไม่ว่าจะเป็น “Walking in the Rain”, “Do I Love You”, “Baby I Love You”, “The Best Part of Breaking Up”, “I Can Hear Music” และแน่นอน เพลงอันดับ 1 อย่าง “Be My Baby” ที่ข้ามไปสร้างชื่อในอังกฤษ โด่งดังขนาดที่ว่าพวกเธอเป็นวงเฮดไลน์ในหลายคอนเสิร์ทเคียงข้างวง เดอะ โรลลิง สโตนส์ และ เอริค แคลปตัน แอนด์ เดอะ ยาร์ดเบิร์ด ส่วน เดอะ บีเทิลส์ ชวนพวกเธอออกทัวร์อเมริกาด้วยกันเมื่อปี 1966 แต่ไม่มี รอนนี เดินทางไปด้วย เนื่องจาก ฟิล ไม่ยินยอมเพราะความหึงหวง หลังสิ้นสุดการทัวร์ยุโรป ต้นปี 1967 เดอะ รอนเน็ทท์ส แยกทางกันเด็ดขาด ส่วน รอนนี ยังมีผลงานเพลงออกมาบ้างเป็นระยะในฐานะศิลปินเดี่ยว
เธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ ฟิล ตั้งแต่ปี 1963 โดยไม่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว จนเมื่อเขาหย่าขาดจากภรรยาเก่าจึงแต่งงานกับเธอเมื่อปี 1968 ทั้งคู่อยู่ด้วยกันไม่กี่ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน ก่อนจะหย่าร้างกันในปี 1972 ซึ่งเธอเขียนเล่าถึงพฤติกรรมทารุณของอดีตสามี ที่ทำร้ายเธอทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตอนที่ ฟิล เสียชีวิตในเรือนจำเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2021 เธอพูดถึงเขาสั้นๆว่า “เขาเป็นโปรดิวเซอร์ที่สุดยอดนะ แต่ก็เป็นสามีที่เลวสิ้นดี”
รอนนี มีผลงานเพลงออกมาหลังจากเลิกรากับ ฟิล เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับสมัย เดอะ รอนเน็ทท์ส ไม่ว่าจะเป็นการนำเพลง “Say Goodbye to Hollywood” ของ บิลลี โจเอล มาทำใหม่ร่วมกับวง ดิ อี สตรีท แบนด์ ของ บรูซ สปริงสทีน แต่เพลงที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจเธออีกครั้งคือ “Take Me Home Tonight” ของ เอ็ดดี มันนีย์ ที่นำเสียงร้องของเธอไปแซมพลิ่ง
หลายทศวรรษที่ผ่านมา รอนนี สเปคเตอร์ ยังคงทำงานเพลงควบคู่ไปกับการออกทัวร์ มี English Heart เป็นสตูดิโอ อัลบั้มชุดสุดท้ายเมื่อปี 2016 นำเพลงป็อปคลาสสิคมาร้องใหม่ในแบบฉบับตัวเอง เพลงที่มีความหมายต่อชีวิตเธอในแต่ละช่วงเวลา
“ฉันเป็นเด็กหญิงจากสลัม...ที่อยากร้องเพลงเท่านั้น”
รอนนี สเป็คเตอร์ จากไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2022 ด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งมรดกเอาไว้หลายสิ่ง ไม่เฉพาะเสียงร้องที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่ยังหมายรวมถึงรูปลักษณ์และวิธีคิด
ขอบคุณภาพจาก www.ronniespector.com