ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “เมื่อเรารู้สึกว่าฟ้าเป็นเสมือนฝาชีเหล็กและโลกเป็นเหมือนผืนทะเลทรายแห้งแล้ง เมื่อนั้นเราก็ต้องการที่จะหลบหนีไปจากมัน แทนที่จะแผ่ขยายตนเองออกไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ปรากฏการณ์ด้านความเคลื่อนไหวของชีวิตในทุกๆโมงยาม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของชีวิต จะต้องรู้เท่าทันในวิถีที่จะประคับประคองชีวิตเพื่อที่จะปฏิบัติในทุกๆภารกิจซึ่งเป็นภาระที่สามารถนำไปสู่การหยั่งรู้ในความสงบสุขให้ได้” พันธะความคิดแห่งหลวงปู่ “ท่านอาจารย์ ติช นัท ฮันห์”.. ในวิถีแห่งภูมิรู้ของชีวิตดังกล่าว...ถือเป็นการจุดประกายไม่ให้อะไรมาขัดขวาง “ดวงตะวันแห่งการรู้เท่าทัน” ให้ได้ส่อง”สว่าง...”...นั่นหมายถึง การหยั่งรู้เท่าทัน ในความเป็นไปของชีวิต ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้อย่างมั่นคงที่สุด โดยที่ตัวเขา จะไม่มีวันสูญเสีย “ตัวตนของตัวเองไป” “เรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง” (Call me by my true name)..รวมบทกวีของหลวงปู่ท่านอาจารย์ “ติช นัท ฮันห์” พระเซ็นชาวเวียดนามซึ่งแปลเป็นภาษาไทยอย่างงดงามลึกซึ้งโดยนักแปล ผู้มีวิถีแห่งถ้อยคำสำนวนอันยิ่งใหญ่. “ร.จันเสน”..ถือเป็นหนังสือแห่งความหมายในเชิงประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดของท่าน...ทั้งในฐานะผู้เขียน และในฐานะของนักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพคนสำคัญของโลก ณ วันนี้ เนื้อหาสาระของบทกวีทั้งหมดรวม 146 บท แสดงถึงเงื่อนงำในประเด็นแห่งสงครามความอ้างว้างโดดเดี่ยว การพลัดพราก ตลอดจนนัยแห่งการตระหนักรู้อันแจ่มกระจ่างที่ช่วยเปลี่ยนแปร ความมืดมนโศกเศร้าของประสบการณ์ให้กลับกลายเป็นของขวัญอันเลอค่าแห่ง... “ดวงใจอันพิสุทธิ์พิศาลของชีวิต” “โลกดูแปลกเปลี่ยนเหลือประมาณ/แม่จากไปในขณะที่หัวใจยังหลั่งเลือด/ลมเช้า..โชยโบกปลอบประโลม...ชุดนักบวชของฉัน/..../ฉันคุยกับแม่ตามลำพังเรื่องชีวิต/ดวงใจฉันแหลกสลาย...ทว่าใจยังสงบนิ่ง/...” ว่ากันว่า...องค์ประกอบในความเป็นไปของสงครามนั้น มักขับเอาสัญชาตญาณด้านที่มืดดำของมนุษย์ให้ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด...แต่ท่านอาจารย์ “ติช นัท ฮันห์” กลับสามารถสร้างบทกวีที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจแห่งเมตตาธรรมให้ปรากฏออกมาดุจ “หยดน้ำของความหวัง” ท่ามกลางประกายไฟที่โหดร้ายของสงครามเวียดนามอันน่าสะพรึงกลัว ท่านอาจารย์ได้ย้ำเตือนถึงความเชื่อและศรัทธา ในภาวการณ์ที่แบ่งแยกและขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วยทรรศนะความคิดที่ว่า... “สันติสุขและความกรุณา จะสามามารถก้าวไปด้วยกันภายใต้เงื่อนไขของความเข้าใจและการไม่ตกเป็นทาสของความคิดที่แบ่งแยก”...แต่ด้วยดวงตาแห่งความกรุณาเราสามารถที่จะเฝ้าดูความเป็นจริงทั้งมวล...ซึ่ง ณ ที่นี้..คนที่มีความกรุณาจะมองเห็นตัวเขาเอง หรือตัวของเธอเองในทุกๆชีวิตด้วยความสามารถที่มองและหยั่งเห็นภาพแห่งความเป็นจริงจากหลายๆมุมมอง และเราก็ยังสามารถที่จะก้าวข้ามพ้นมุมมองทั้งหลายทั้งปวง ตลอดจนการกระทำนานาด้วย “ความกรุณาในทุกสถานการณ์” ....ภายใต้ความหมายอันสูงสุดของคำว่า “สมานฉันท์” ความเชื่อมั่นตรงนี้เอง ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงว่า...สงครามเวียดนามถึงแม้จะมีอานุภาพที่น่าสะพรึงกลัว แต่อีกด้านหนึ่งมันคือชีวิตชีวา และเป็นสิ่งที่ล้ำค่าต่อการเรียนรู้ของมนุษยชาติ.. “..พวกเขาปลุกฉันเมื่อเช้านี้/เพื่อบอกว่า น้องของฉันถูกฆ่า ในสงคราม/แต่กระนั้น...ภายในสวน/กุหลาบใหม่ดอกหนึ่ง..กลีบดอกชื้นยังไม่ม้วนตัว/ก็ได้บานประดับพุ่ม และฉันยังมีชีวิตอยู่/..” ณ เบื้องลึกแห่งแรงบันดาลใจ ในการสร้างบทกวีของท่านอาจารย์ “ติช นัท ฮันห์”...อาจสรุปเป็นภาพรวมออกมาได้ว่า มันคือ “ความรัก” ...ความรักที่มีอยู่ต่อเพื่อนมนุษย์ ที่ปลอดพ้นไปจากข้อจำกัดด้านเชื้อชาติ ศาสนา และอุดมการณ์...ความเจ็บปวดที่ต้องเห็นเพื่อนร่วมชาติต้องถูกทำลายล้างด้วยพิษภัยของสงคราม...ก่อสำนึกให้ท่านต้องอุทธรณ์ร้องขอความเป็นธรรมต่อเพื่อนร่วมโลก...แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างเคียดแค้นชิงชัง...ทุกๆอย่างเป็นไปด้วยความหวังและความรักอันเต็มเปี่ยม...ความรักที่แผ่ร่มเงาอันงดงามไปสู่...แม้กระทั่ง “ผู้ประหารที่โหดร้าย”.. “แท้จริงศัตรูของท่านและเราไม่ใช่มนุษย์ ...แต่ความโกรธเกลียดและความหลงต่างหากที่เป็นศัตรูอันแท้จริงของเรา” เหตุนี้... “แรงบันดาลใจ” ของท่านอาจารย์ติช นัท ฮันห์...จึงเปรียบได้ดั่งการเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก ที่ก่อเกิดขึ้นได้ด้วยการมองเห็นธรรมชาติของการอิงอาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่ง ...การประจักษ์แจ้งแห่งสำนึกดังกล่าวนี้...ถือกันว่าจะเกิดขึ้นเฉพาะตน...ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์หรือระบบความคิด แต่หากเป็นผลอันเกิดจากการรับรู้ในด้านประสบการณ์โดยตรง ประสบการณ์ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงสัจธรรมที่ว่า...ในความเป็นจริงนั้น..มีแง่มุมของความสัมพันธ์อันหลากหลาย หลอมรวมกันอยู่ “...นับแต่ฉันรู้จักคุณ/ประตูแห่งวิญญาณฉันพลันเปิดกว้าง/รับลมทั้งสี่ทิศ/ความเป็นจริงเรียกหาความเปลี่ยนแปลง/ผลไม้แห่งความตระหนักรู้สุกแล้ว/และประตูไม่อาจปิดได้อีก” หนังสืออันงดงามแห่งจิตวิญญาณเล่มนี้...แบ่งออกเป็น 2 ภาค/ภาคที่ 1 ...เป็นภาคแห่งมิติประวัติศาสตร์...ด้วยบทกวีจำนวน 46 บท/และภาคที่ 2 เป็นภาคแห่ง “ปรมัตถ์มิติ” ด้วยบทกวีรวม 100 บท/...ทั้งสองภาคล้วนเต็มไปด้วย “ผัสสะของความรัก” ที่สื่อความหมายให้ผู้อ่านที่ได้สัมผัสกับเนื้อในของบทกวีทุกๆคน ได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า “เราทุกคน...ชีวิตทุกชีวิตต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน..เสมอ” ในภาคแห่งประวัติศาสตร์...ท่านอาจารย์ติช นัท ฮันห์...ได้แสดงถึงปรากฏการณ์แห่งความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นกับโลก ชีวิต และแผ่นดินถิ่นเกิดที่ต้องประสบกับภาวะอันขมขื่น..แต่ทุกๆอย่างในฐานะของความเป็นคนก็จักต้องดำเนินต่อไป ด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความตั้งใจเพื่อสร้างกำลังใจ ... “สำหรับวันพรุ่งนี้”... “ฉันมาเพื่ออยู่กับเธอ/มาร้องไห้กับเธอ/ร้องให้แก่แผ่นดินที่ถูกผลาญ/และชีวิตที่แหลกลาญของเรา/เราเหลือเพียงความเศร้า และรวดร้าว/แต่จงจับมือฉัน และกุมไว้ให้มั่น/ฉันอยากจะกล่าว...เพียงถ้อยคำธรรมดา/จงมีกำลังใจ เราต้องมีพลังใจ...อย่างน้อยก็เพื่อลูก...อย่างน้อยก็เพื่อพรุ่งนี้..” ไม่ว่าจะประสบกับชะตากรรมอันเป็นหายนะเช่นไร...ท่านอาจารย์ติช นัท ฮันห์..ได้ขอให้ทุกคนมีกำลังใจ และมุ่งหวังเพื่อ “ผู้คนแห่งอนาคต” อันเป็นความคิดต่อความรื่นรมย์ ในการที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกข์ยาก ...เหตุนี้...เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ความกดดันทั้งหลายภายในจิตใจก็จะดับสลายไปอย่างเป็นธรรมชาติ...ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ความเป็นประสบการณ์ในครั้งหนึ่งของชีวิตก็จะกลายสภาพเป็นประวัติศาสตร์ ที่ผ่านการสัมผัสอันลึกซึ้งจากตัวตนของเรา...และเมื่อใดที่ได้ผ่านมิติแห่งประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งแล้ว...เราก็จะสามารถพบตนเองในปรมัตถ์มิติ และเมื่อได้สัมผัสกับปรมัตถ์มิติแล้ว ...ประวัติศาสตร์ก็หาได้ถูกทิ้งขว้างไป...แต่อย่างใดไม่.. “หนึ่งจะเป็นสาม/หนึ่งจะเป็นสี่/หนึ่งจะเป็นพัน/เราจะกลับมาใหม่/เราจะกลับมาใหม่..../นี่คือการพรูพร่างแห่งฝน/คือมหาสมุทรกว้างแห่งใจ/” ค่าแห่งใจที่ปรากฏในปรมัตถ์มิติ จะทำให้บุคคลผู้สัมผัสได้เรียนรู้ถึงความเป็นจริง จนบังเกิดเป็น “ปัญญาญาณ” โดยไม่ยึดติดในตนหรือบุคคลใดๆอันจะมุ่งนำไปสู่การรู้ชัดและเห็นชัดในความเป็นจริงทั้งปวง ซึ่งตรงนี้ถือเป็น “สภาวะอันมีค่าสูงสุด” “....อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อรูปปะทะกับความว่าง/และอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อสัญญาล่วงไปสู่อสัญญา/มานี่กับฉันสิเพื่อน/มาเฝ้ามองด้วยกัน/เธอเห็นตัวตลกสองตัว ...ชีวิตกับความตาย/...เล่นละครอยู่บนเวทีไหน” “ดีน่า เมตซเกอร์”...ผู้เขียน”A Sabbath Among The Ruins”ได้กล่าวถึงบทกวีโดยรวมในเล่มนี้ว่า...เปรียบเสมือนแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงด้วยสองกระแสธาร...กระแสหนึ่งคือความตระหนักรู้และภูมิปัญญาของอาจารย์เซน..ส่วนอีกกระแสหนึ่งคือความตระหนักรู้และภูมิปัญญาของกวี...เมื่อดื่มด่ำน้ำจากสายธารทั้งสองกระแสนี่..เราจะได้รับทั้งความงาม และปัญญาอันล้ำลึก... สำหรับผม...ผมรู้สึกอิ่มเอมเสมอ เมื่อได้มีผัสสะผลงานประพันธ์ของท่านอาจารย์ติช นัท ฮันห์...มันส่งผลให้ผมได้พบกับข้อประจักษ์ถึงว่า..ขณะที่ชีวิตกำลังเป็นทุกข์...สาระแห่งความคิดจากประพันธกรรมของท่านทั้งหมด กระทั่งสาระจากบทกวีเล่มนี้ในแต่ละบท...ได้นำความสุขมาสู่ชีวิตของเรา...นำ “ชั่วขณะแห่งความสุข”..ให้มาบังเกิดต่อการเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้า..ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำเป็นต้องถนอมรักษาเอาไว้เป็นสมบัติอันมีค่าของชีวิตให้ยาวนานที่สุด.. “ความคิดของฉัน/ฉันส่งมันออกไป/คำที่ฉันเอ่ย...คลื่นแห่งเสียง/ถ่ายทอดตัวมันเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า/คุณหาทางบันทึกมันไว้/รูปเงาฉันถูกฉาย/ริมฝีปากเคลื่อนไหวเมื่อฉันพูด/นัยน์ตาฉันยิ้ม คุณหาทางบันทึกมันไว้/โดยคิดว่า จะเก็บรักษามันได้...” ท่านอาจารย์ติช นัท ฮันห์...ได้ละสังขารไปแล้วเมื่อเวลาเริ่มต้นของวันใหม่ ในวันเสาร์ที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา..ท่ามกลางความศรัทธาและอาลัยจากลูกศิษย์ลูกหา..ทั่วโลก.. นับเนื่องจาก..ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ศานติในเรือนใจ สันติภาพทุกย่างก้าว ปลูกรัก ดวงตะวันดวงใจฉัน...บทละคร ทางกลับคือการเดินทางต่อ..มาจนถึงรวมบทกวีเล่มนี้...ทั้งหมดล้วนเป็นประพันธกรรมเป็นข้อเขียนในรูปลักษณ์ที่ทั้งงดงามและมีค่ายิ่ง..เป็นความกรุณาแห่งใจที่คอยประคับประคองชีวิตให้หยัดยืนเพื่อต่อสู้กับอุปสรรคและกล้าเผชิญหน้ากับภาวะสงครามอันล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ภายใน และสงครามที่โหดร้ายซึ่งปรากฏอยู่ตามสมรภูมิอันบ้าคลั่งที่ไม่รู้จักจบสิ้น ณ โลกภายนอก....ทุกๆภาวะคือองค์ประกอบแห่งวิถีของความสงบงามและใคร่ครวญอันลึกซึ้ง...เปี่ยมเต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์อันสมบูรณ์และสถาพร...ที่ก่อให้เกิดทั้งความสุขและความตระหนักรู้...ในข้อความจริงแห่งจิตวิญญาณที่ไม่อาจทำลายล้าง..และลบเลื่อนเปลี่ยนแปรได้....แม้เมื่อใด “โปรดเรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง เพื่อฉันจักอาจยินเสียงสรวลและร่ำไห้ของตนได้พร้อมๆกัน เพื่อฉันจักอาจเห็นว่า ปีติและเจ็บร้าวของตนนั้นคือหนึ่งโปรดเรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง.....เพื่อฉันจักอาจตื่นขึ้น และประตูหัวใจฉัน ประตูแห่งความกรุณา...จะได้เปิด”