สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เปิดเผยรายงานประจำปีว่าด้วยเรื่องการลักลอบค้ามนุษย์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยระบุว่า วิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลทำให้สถานการณ์ของปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์เลวร้ายหนักขึ้น รายงานของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า นอกจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ตลอดจนนโยบายและการเลือกปฏิบัติ ส่งผลต่อบุคคลถูกกดดันจากความอยุติธรรมต่างๆ อย่างไม่เท่าเทียมกัน พร้อมกันนี้ รายงานของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ยังเผยอีกว่า การโยกย้ายทรัพยากรต่างๆ เพื่อนำไปใช้ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้การแก้ปัญหาด้านอื่นๆ รวมถึงการป้องกันการลักลอบค้ามนุษย์ มีประสิทธิภาพลดลงไป ในขณะที่ขบวนการลักลอบค้ามนุษย์ ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ในการกระทำความผิดด้วยเช่นกัน รายงานได้ระบุถึงประเทศที่มีปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์ ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ อุรุกวัย ว่า เจ้าของบ้านเช่าหลายแห่งใช้วิธีการบังคับให้ผู้เช่าที่เป็นสตรี มีเพศสัมพันธ์กับตน เพื่อแลกกับค่าเช่าก็มี ในขณะที่ผู้เช่าสตรีเหล่านี้ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขณะที่ เฮติ ไนเจอร์ และมาลี ปรากฏว่า พวกขบวนการอาชญากรรม ฉวยโอกาสที่การรักษาความปลอดภัยหละหลวมในช่วงโควิด เข้าไปตามค่ายผู้อพยพต่างๆ แล้วบังคับสตรีในค่ายฯ ให้กลายเป็นแรงงานทางเพศ ส่วนที่เมียนมา ซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤติการเมือง นอกเหนือจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็ปรากฏว่า หลายครอบครัวที่มีปัญหาด้านรายได้ การเงิน ก็ทำให้สมาชิกครอบครัวต้องออกไปขายแรงงานทางเพศอย่างไม่เต็มใจ