สำหรับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โฉมใหม่ภายใต้การบริหารของบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ เอ็น.ซี.ซี. ฯได้ตอกย้ำการเป็นมากกว่า ศูนย์การประชุมฯ ด้วยการพัฒนาพื้นที่รีเทลเต็มรูปแบบ ภายใต้ คอนเซ็ปต์ แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์ มอลล์ (Active Lifestyle Mall) พร้อมเปิดตัวร้านค้าแบรนด์ชั้นนำกว่า 100 ร้าน เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนที่รักการออกกำลังกายและสุขภาพ ตลอดจนดีมานด์ของกลุ่มครอบครัว-และคนทำงานในเมือง เพิ่มศักยภาพให้บริการได้ครอบคลุม ซึ่ง นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า เอ็น.ซี.ซี.ฯ มุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการแพลตฟอร์มอีเวนต์ทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส โดยจได้ขับเคลื่อนศูนย์ฯ สิริกิติ์ให้เป็นมากกว่า ศูนย์การประชุมฯ แห่งใหม่ของภูมิภาคเอเชีย โดยโครงการจะพัฒนาแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2565 น่าจะสามารถดึงดูดจำนวนผู้จัดงานและผู้เข้าใช้บริการได้มากขึ้นกว่า 13 ล้านคน/ปี ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างครอบคลุม จึงได้เตรียมขยายพื้นที่โซนรีเทลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30% โดยมีกลุ่มสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทลของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาและการตลาดส่วนพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ที่จะเป็นศูนย์รวมด้านแอคทีฟไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบของกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Active Lifestyle Mall (BALM) ด้วยการปรับขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมที่ 7,200 ตารางเมตร เป็น 11,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนตามหมวดหมู่ประกอบด้วย กลุ่มร้านค้าอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มอีเวนต์ซัพพอร์ต และกลุ่มแอคทีฟไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะรองรับความต้องการของกลุ่มผู้รักสุขภาพและการออกกำลังกาย พร้อมกับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของรีเทลในประเทศไทยที่มีบริการในลักษณะนี้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกของสุดยอดแบรนด์อุปกรณ์และเครื่องแต่งกายกีฬาชั้นนำของไทยอีกด้วย ศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล พร้อมกันนี้ นายศักดิ์ชัย ยังกล่าวต่อว่า ได้ตั้งเป้าได้ตั้งเป้าผู้เข้ามาใช้บริการประมาณ 70% ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มลูกค้าระดับนานาชาติ ประเภทกลุ่มเทรดแฟร์ (Trade Fair) ด้วยนานาชาติ โดยเฉพาะสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน ซึ่งรวมถึงประเทศในกลุ่ม (CLMV) มองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีความพร้อมในการจัดงานเป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 จากเป้าเดิมที่วางไว้สำหรับสัดส่วนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการศูนย์ฯสิริกิติ์ มาจากลูกค้านานาชาติประมาณ 70% ลูกค้าในประเทศประมาณ 30% เปลี่ยนเป็นสัดส่วนลูกค้านานาชาติ 60% และตลาดในประเทศประมาณ 40% เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ดีขึ้น รีเทลครอบคลุมลูกค้ากว้างขึ้น ด้าน นางสาวธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเป็นผู้พัฒนาและดูแลการตลาดพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์โฉมใหม่ในครั้งนี้ จะมีการนำองค์ความรู้และประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ให้โครงการแห่งนี้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายถึงแม้รีเทลแห่งนี้จะตั้งอยู่ภายในศูนย์การประชุมฯ แต่ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่มีความทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ประกอบกับทำเลที่ตั้งที่เดินทางสะดวก เชื่อมตรงกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับสวนป่ากลางกรุง คือสวนป่าเบญจกิติ จึงน่าจะทำให้เกิดเป็นคอนเซ็ปต์แอคทีฟไลฟ์สไตล์มอลล์เต็มรูปแบบแห่งแรกของกรุงเทพฯ (BALM) จึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นอีกหนึ่งแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ย่าน CBD ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้จัดงานและผู้เยี่ยมชมอีเวนต์ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนเมืองที่มีความแอคทีฟและคนรักการออกกำลังกาย ซึ่งในอนาคต พื้นที่รีเทลใหม่นี้จะกลายเป็นจุดศูนย์รวมที่เชื่อมโยงคอมมูนิตี้ที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกันอย่างแน่นอน ธีรนันท์ กรศรีทิพา ในปัจจุบันมีร้านอาหารและร้านค้าแบรนด์ชั้นนำจำนวนมากให้ความสนใจพื้นที่ โดยได้ทยอยเซ็นต์สัญญาแล้วกว่า 20% ของพื้นที่รีเทลทั้งหมด และยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้ จะสามารถปิดดีลผู้เช่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 40% ส่วนผู้ที่สนใจพื้นที่รีเทล ยังสามารถจับจองพื้นที่และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือ ติดต่อ 0-2229-3111 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการเป็นแอคทีฟไลฟ์สไตล์มอลล์เต็มรูปแบบแห่งแรกบนทำเลใจกลางเมือง