สำหรับอุตสาหกรรมไมซ์และงานอีเวนต์จำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดจากผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งผู้จัดงานจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบธุรกิจพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อย่างแพลตฟอร์มบริหารจัดการอีเวนต์ครบวงจรก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างฟังก์ชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สนับสนุน ผู้จัดงาน และผู้เข้าร่วมประชุมและเพื่อสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมของผู้ชมเช่นเดียวกับงานจริงเท่านั้น อีเวนต์แบบไฮบริดจะบรรทัดฐาน ในเรื่องนี้ นายซัม หว่อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งของ EventX แพลตฟอร์มการจัดงานอีเวนต์รูปแบบเสมือนจริงชั้นนำของเอเชีย ให้บริการมากกว่า 135 ประเทศและได้จัดกิจกรรมมากกว่า 20,000 อีเวนต์ โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 5 ล้านคน กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงปีที่บริษัทได้มีการเติบโตของผู้ใช้เพิ่มมากขึ้นกว่า 800% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าทั้งแบบออนไลน์ แบบไฮบริด และแบบออฟไลน์ อีกทั้งเมื่อบริษัทฯ ได้ผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ HTC VIVE บริษัทชั้นนำด้านแพลตฟอร์มและระบบนิเวศเสมือนจริง Virtual Reality (VR)ช่วยให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างไร้พรมแดน และปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดย นายหว่อง กล่าวต่อว่า แผนการทำงานด้านเทคโนโลยีและเมตาเวิร์สสำหรับงานอีเวนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2565 ดังต่อไปนี้ คือ อีเวนต์แบบไฮบริดกลายเป็นบรรทัดฐาน แม้ว่าก่อนเกิดโควิด-19 กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมขนาดใหญ่และสามารถพบปะกันจริง แต่ในปี 2563 กิจกรรมต่างๆ ได้เปลี่ยนมาเป็นออนไลน์เต็มรูปแบบ ดังนั้นในปีนี้และปีต่อไปงานไฮบริดจะกลายเป็นบรรทัดฐาน โดยเทคโนโลยีการประชุมแบบ ไฮบริด (Hybrid) งานแสดงสินค้าที่มีการจัดงานจริงพบปะกันจริงแต่ผสมผสานการนำใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลมาถ่ายทอดสู่ออนไลน์ จะช่วยผู้จัดงานลดต้นทุน เพิ่มช่องทางให้ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงาน ได้พบปะเจอกันในอีกโลกหนึ่งคือดิจิทัล ส่วนผู้เข้าร่วมงานประหยัดเวลาการเดินทางมาชมงานแสดงสินค้าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในช่วงภาวะวิกฤตโควิดที่ทุกคนต้องเผชิญ อย่างไรก็ตามกิจกรรมดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของการบริการทั้งผู้เข้าร่วมและผู้จัดงานและสิ่งสำคัญของทั้งสองฝั่งคือผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่ง จากการสำรวจผู้จัดงานกว่า 3,000 รายทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา โดย Markeletic พบว่า 86% ขององค์กร B2B ได้รับผลตอบแทนที่เป็นบวกจากกิจกรรมแบบไฮบริด ซึ่งหลังจาก 7 เดือนของวันที่จัดงาน ด้วยอีเวนต์แบบไฮบริดมีการผสมผสานแบบออนไลน์และออฟไลน์สำหรับผู้เข้าร่วมและพันธมิตร จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมงานมากขึ้น (ผู้เข้าร่วมให้ข้อมูล 81% ของความพึงพอใจตามที่โหวตในแบบสำรวจของ Markletic) เมตาเวิร์สสำคัญต่อกิจกรรมยุคใหม่ ทั้งนี้ นายหว่อง ยังกล่าวต่อว่า เมตาเวิร์สมีบทบาทสำคัญสำหรับกิจกรรมยุคใหม่ ด้วยข้อมูลของ Bloomberg Intelligence ระบุว่า มูลค่าตลาดเมตาเวิร์สจะเพิ่มขึ้นจาก 5 ร้อยล้านดอลลาร์-สหรัฐ ในปี 2563 เป็น 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2567 โดยเวลานี้จะมีแบรนด์ต่างๆ เช่น Gucci และแม้แต่ Microsoft ต่างกระโดดเข้าสู่เมตาเวิร์สแล้วเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันและอนาคตหากเมตาเวิร์สจะมีบทบาทมากขึ้น นักการตลาดและผู้จัดงานอาจจะต้องเริ่มหันมาโฟกัสและปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้ตามทันเทคโนโลยีมากขึ้นด้วย เพราะโลกของเมตาเวิร์ส มีเป้าหมายที่จะทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกันในความเป็นจริงสามารถทำกิจกรรมร่วมกัน และสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม ด้วยเมตาเวิร์สเป็นที่ที่ทุกสิ่งเป็นไปได้และเปิดโอกาสอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยผู้ใช้สามารถออกแบบสภาพแวดล้อมได้อย่างไร้จำกัด การมีส่วนร่วมแบบโต้ตอบกับผู้ใช้รายอื่นและแบรนด์ต่างๆ รวมทั้งโฆษณาเชิงโต้ตอบเพื่อทำให้แบรนด์ผู้สนับสนุนโดดเด่น ตอนนี้ลองนึกภาพว่าสิ่งเหล่านี้นำไปใช้กับกิจกรรมที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ธุรกิจ ผู้เข้าร่วมประชุมและแน่นอนว่าผู้จัดงานจะสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ทั้งนี้เป็นเพราะการสร้างเครือข่ายในเมตาเวิร์ส ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้ทุกที่ ทุกเวลา จากทั่วทุกมุมโลก เนื่องจากทุกคนสามารถพบปะกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ยังถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้คนอื่น ๆ ได้รู้จักธุรกิจในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ทั้งต่อนักธุรกิจในวงการเดียวกันและนักลงทุน รวมถึงได้แลกเปลี่ยนความคิดและทัศนคติกับนักธุรกิจที่คร่ำหวอดในวงการมาเป็นเวลานานผ่านเครือข่ายเสมือนจริงในอีเวนต์ พร้อมช่วยต่อยอดธุรกิจขให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งยังสร้างการรับรู้แบรนด์ต่อแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว และขยายกลุ่มลูกค้าไปในระดับสากล เพื่อยกระดับแบรนด์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น