ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ เพียงสัปดาห์ที่ 2 ของปีพ.ศ. 2565 วงการดนตรีไทยก็สูญเสียศิลปินที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับตำนานไปถึง 2 คน ในช่วงเวลาห่างกันแค่ 4 วัน คนแรกคือ ศรเพชร ศรสุพรรณ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2565 อายุ 73 ปี และคนต่อมาคือ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2565 ในวัย 79 ปี ทั้งคู่เป็นศิลปินในสายลูกทุ่ง และเป็นผลผลิตของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ซึ่งให้กำเนิดศิลปินดนตรีชั้นนำในเมืองไทยมากมาย เส้นทางของ ศรเพชร หรือในนามจริง บุญทัน คล้ายละมั่ง คล้ายนักร้องลูกทุ่งชายจำนวนไม่น้อยที่มาจากพื้นเพชาวนา การศึกษาไม่สูงนัก และเริ่มต้นเป็นนักร้องอาชีพจากการร้องเชียร์รำวง ด้วยเสียงแหลมสูงและลีลาที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะการปล่อยลูกคอเป็นห้วงๆ ทำให้ ศรเพชร โด่งดังจากเพลงยอดนิยมหลายๆเพลง เช่น "ข้าวไม่มีขาย", “หยิกแกมหยอก”, “เข้าเวรรอ”, “มอเตอร์ไซค์ทำหล่น”, “ไอ้หวังตายแน่”, “น้ำตาไอ้หนุ่ม”, “ใจจะขาด”, “อภัยให้เรียม”, “เสียน้ำตาที่คาเฟ่”, “รักมาห้าปี” ฯลฯ แม้จะเป็นหนึ่งในผู้ถ่ายทอดบทเพลงได้อย่างสุดยอด แต่ ศรเพชร ยังมีบทบาทที่ทรงอิทธิพลต่อวงการลูกทุ่งในเชิงลึกน้อยกว่า ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ หรือชื่อจริงคือ พาน สกุลนี เติบโตมาในครอบครัวที่มีแม่เป็นนักขับเพลงอีแซวระดับแม่เพลง จึงซึมซับเพลงพื้นบ้านหลากหลาย รวมถึงเพลงแหล่ ซึ่งร้อง-เล่นกันทั่วไปในแถบสุพรรณบุรีและจังหวัดภาคกลาง จากนั้นได้ไปหัดลิเก และต่อมาก็เข้าสู่วงการลูกทุ่งโดยการชักนำของ ชัยชนะ บุญนะโชติ นักร้อง-นักแต่งเพลงชาวสุพรรณ เพื่อนร่วมรุ่นที่มีชื่อเสียงแล้วในตอนนั้น หลังจากเข้าไปเป็นดาวเด่นในวง รวมดาวกระจาย ของ สำเนียง ม่วงทอง ก็ได้มีโอกาสร้องเพลงบันทึกเสียง และประสบความสำเร็จกลายเป็นนักร้องลูกทุ่งแถวหน้าในเวลาต่อมา ก่อนที่ ไวพจน์ จะโด่งดัง วงการลูกทุ่งมีนักร้องชายที่เป็นขวัญใจของผู้ฟังอยู่หลายคน ได้แก่ สุรพล สมบัติเจริญ, ชาย เมืองสิงห์, เพลิน พรหมแดน, ไพรวัลย์ ลูกเพชร รวมถึงรุ่นที่มาก่อนและยังดังอยู่ อย่าง สมยศ ทัศนพันธ์, ทูล ทองใจ และ พร ภิรมย์ ดูเหมือนจะไม่ง่ายที่ใครจะแหวกขึ้นมามีชื่อเสียงได้ แต่ด้วยน้ำเสียงและวิธีร้องที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงเพลงส่วนหนึ่งเน้นอารมณ์ขัน ทำให้ ไวพจน์ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ไวพจน์ บันทึกเสียงไว้ไม่น้อยกว่า 2,000 เพลง เขามีเพลงยอดนิยมมากมาย เช่น “หนุ่มนารอนาง”, “สามปีที่ไร้นาง”, “ตามน้อง”, “สาละวันรำวง”, “แม่พวงมะนาว”, “แตงเถาตาย”, “ฟังข่าวทิดแก้ว”, “ใส่กลอนหรือเปล่า”, “รวยเขาแน่”, “ซามักคักแท้น้อ”, “ให้พี่บวชเสียก่อน”, “เซิ้งบ้องไฟ”, “แบ่งสมบัติ” และ “21มิถุนา ไวพจน์ลาบวช” เป็นต้น หลายเพลงยังถูกนำมาเล่นและบันทึกเสียงซ้ำๆอยู่ถึงทุกวันนี้ จากการบันทึกเสียงอัลบั้มต่างๆที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ปูมหลังของ ไวพจน์ นั้นส่งอิทธิพลมาอยู่ในผลงานอย่างเต็มที่ หลายเพลงใช้ท่วงทำนองพื้นบ้าน โดยเฉพาะการแหล่ จนกระทั่งบางคนเรียกเขาว่า ‘ราชาเพลงแหล่’ บางเพลงมีถ้อยคำสำเนียงลาว แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะแม่ของเขามีเชื้อสายลาวโซ่ง ซึ่งคนไทยเชื้อสายนี้กระจายอยู่ไม่น้อยทางภาคกลางไปทางตะวันตก อย่าง สุพรรณบุรี, ราชบุรี และเพชรบุรี นอกจากร้องเพลงได้ยอดเยี่ยม และรอบรู้เพลงพื้นบ้าน ไวพจน์ ยังเป็นนักแต่งเพลงฝีมือดี เพลงที่โด่งดังของเขามีทั้งที่นักแต่งเพลงชั้นครูแต่งให้และเพลงที่แต่งเอง ยิ่งกว่านั้นเขายังแต่งเพลงให้นักร้องหลายคนใช้เป็นบันไดก้าวแรกขึ้นไปสู่ความสำเร็จ ส่วนหนึ่งในนั้นคือ “ตชด. ขอร้อง” เพลงดังเพลงแรกของ เพชร โพธาราม และ “แก้วรอพี่” กับ “นักร้องบ้านนอก” เพลงที่ส่งให้ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เริ่มเป็นที่รู้จัก ก่อนที่เธอจะกลายเป็นราชินีลูกทุ่งไร้เทียมทานจนวาระสุดท้ายของชีวิต มีจุดน่าสนใจในเพลง “นักร้องบ้านนอก” ท่อนแรกนั้นร้องว่า “เมื่อสุริยน ย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง” ซึ่งตรงกับ “สุริยนย่ำสนธยา เอ๊ย กาจะกลับคืนรัง” ท่อนแรกของเพลง “ตามน้อง” หนึ่งในเพลงฮิตยุคแรกของ ไวพจน์ จึงไม่รู้ว่าเขาชอบคำนี้เป็นการส่วนตัว หรือแฝงความรู้สึกว่า เป็นคำนำโชคเอาไว้ด้วยหรือเปล่า ช่วงราวๆ 30 ปีที่ผ่านมา นักร้องลูกทุ่งรุ่นเก่าเกือบทั้งหมดแทบไม่มีการบันทึกเสียงเพลงแต่งใหม่ ดังนั้นเปอร์เซ็นต์จากการขายงานต้นฉบับแทบไม่มี ถ้าไม่ได้เป็นคนแต่งเพลงเอง บางทีแต่งเองก็ยังไม่ได้ เพราะขายขาดไปแล้ว รายได้ส่วนใหญ่มักจะมาจากการบันทึกเสียงเพลงของตัวเองกับดนตรีใหม่ และการออกแสดงตามที่ต่างๆ ซึ่งไม่มากเหมือนสมัยรุ่งเรือง แต่ ไวพจน์ ยังกลับมาโด่งดังสุดๆอีกครั้งกับอัลบั้มที่ทำคู่กับ ทศพล หิมพานต์ นักร้องรุ่นหลัง มีงานชุกไม่ขาดจากการรับแหล่ตามงานมงคล และทำขวัญนาคในงานบวช ในช่วงที่ยังแข็งแรงถือว่าเป็นมือหนึ่งด้านนี้ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้องเพลงลูกทุ่ง) เมื่อปีพ.ศ. 2540 เป็นเกียรติยศที่สมศักดิ์ศรีโดยไม่มีข้อกังขา และอิทธิพลของ ไวพจน์ ก็จะถูกส่งผ่านต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด ตราบที่ประเทศไทยยังมีเพลงลูกทุ่ง