จากกรณี2บริษัทประกันฯคือบมจ.อาคเนย์ประกันภัยและบมจ.ไทยประกันภัยได้ยื่นฟ้องเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)และสำนักงานคปภ.ต่อศาลปกครองกลาง กระทั่งกำลังเป็นที่สนใจสำหรับบ.ประกันด้วยกันและพี่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนผู้ที่ถือกรมธรรม์ประกันโควิดเจอจ่ายจบอีกเกือบ10ล้านฉบับและกรมธรรม์ยังมีผล โดยยังไม่สิ้นสุดความคุ้มครองอยู่ขณะนี้นั้นเป็นอย่างมาก
ล่าสุดนายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ อดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Financial Services Association) ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้บนเพจเฟสบุ๊คได้อย่างน่าสนใจทีเดียว โดยใจความสาระสำคัญว่า
2 บริษัทประกันภัยฟ้องคปภ. คดีมีพลิก
ข่าวใหญ่โต สองบริษัทประกันวินาศภัย ฟ้องสำนักงานคปภ. ฐานออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ที่ไม่ยอมให้บริษัทประกันภัยใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย”เจอจ่ายจบ”
ฟังเผินๆ ดูเหมือนศาลน่าจะพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้บริโภค โดยไม่ยอมให้บริษัทประกันภัยยกเลิกสัญญากลางคัน เพราะถือว่าเมื่อรับเงิน รับประกันภัยมาแล้ว ก็ต้องรับประกันต่อเนื่องจนครบสัญญา แต่คดีนี้ไม่ง่ายครับ
หลักการของการประกันภัย ใช้หลักความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และความถูกต้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรม วัดยาก เช่น ยุติธรรมกับใคร แค่ไหน จึงจะถือว่ายุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย หลักการสากลจึงใช้การร่างหนังสือสัญญาขึ้นมาเป็นกติกา และยึดถือข้อความในสัญญาเป็นเกณฑ์ตัดสิน
ปัญหาคือ ในกรมธรรม์ประกันวินาศภัยแทบทุกฉบับ มีเงื่อนไขให้บริษัทประกันภัยสามารถยกเลิกสัญญาได้ แถมเงื่อนไขนี้ก็ใช้กันทั่วโลก และได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือคปภ.มาเรียบร้อยแล้ว
(เท่าที่ทราบในสัญญากรมธรรม์ประกันชีวิต จะไม่มีเงื่อนไขให้บริษัทประกันชีวิตสามารถยกเลิกสัญญาได้ เว้นแต่เป็นส่วนของสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพหรือโรคร้ายแรง หากพบว่าผู้เอาประกันภัยมีการทุจริต หรือปกปิดข้อเท็จจริง บริษัทประกันชีวิตถึงจะยกเลิกสัญญาได้)
ตามปกติ บริษัทประกันวินาศภัย มักจะไม่ใช้สิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์กลางคัน เพราะแสดงถึงความไม่น่าเชื่อถือของบริษัท ที่เสมือนผิดสัญญาว่าจะรับประกันภัยให้ลูกค้าจนครบสัญญา จนอาจมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทในระยะยาว
แต่ในนาทีนี้ เข้าใจว่าบริษัทประกันวินาศภัยที่มีปัญหา กำลังจะล้มทั้งยืน ธุรกิจที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน อาจจะพังครืนภายในปีนี้ หากยังปล่อยให้สถานการณ์ยังดำเนินไปแบบปัจจุบัน จึงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตน โดยใช้เงื่อนไขในสัญญาเป็นตัวต่อสู้
ตามโครงสร้างเดิมของการประกันภัยทั่วไป บริษัทมักจะมีอัตราเสี่ยงภัยมาตรฐาน ที่รู้ว่าต้องคิดเบี้ยประกันภัยเท่าไร ต้องจ่ายค่าสินไหมเท่าไร จ่ายค่านายหน้าและค่าดำเนินการเท่าไร ที่เหลือจึงจะเป็นกำไร
แต่สำหรับโรคโควิด-19 ธุรกิจประกันภัยยังไม่เคยมีค่าอ้างอิง ว่าโอกาสในการติดเชื้อจะเป็นเท่าไร จึงทดลองตั้งอัตราเบี้ยประกันขึ้นมาอัตรา 1:200 หรือเบี้ยประกัน 500 บาท หากติดเชื้อรับเงินสินไหม 100,000 บาท โดยยังไม่คิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และหวังว่าคนน่าจะติดเชื้อในอัตรา 1:500 จึงจะมีกำไร
แต่ปรากฏว่าอัตราการติดเชื้อในปัจจุบันอยู่ที่ 28:1 คน (ประชากรไทย 65 ล้านคน ติดเชื้อแล้ว 2.3 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ 18 เท่า จากกำไรจึงการเป็นขาดทุนมโหฬารทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนในกรุงเทพที่สมัครทำประกันโควิดกันมาก มีอัตราการติดเชื้อถึง 18:1 หรือ 4.5 แสนคนต่อประชากร 8 ล้านคน(รวมประชากรแฝงแล้ว)
จากเบี้ยประกันที่รับเข้ามาในโครงการรับประกันเจอจ่ายจบ 7,500 ล้านบาท ตอนนี้จ่ายสินไหมไปแล้ว 40,000 ล้านบาท และยังมีกรมธรรม์ที่ยังมีผลบังคับอีกกว่า 7.5 ล้านกรมธรรม์ ที่เหมือนระเบิดเวลา ค่อยๆปะทุทีละลูก
ซ้ำร้าย วงเงินประกันภัยทั้งหมดที่รับมา แทบไม่ได้มีการส่งประกันภัยต่อในต่างประเทศเลย เพราะมันเป็นอุบัติภัยใหม่ บริษัทประกันภัยในต่างประเทศ เขายังไม่มีสถิติที่แน่นอน เขาก็ไม่กล้ารับความเสี่ยงนี้ มีแต่บริษัทประกันภัยในประเทศที่อยากได้ จนความโลภมาบดบังตา จึงไม่เห็นว่าหายนะรออยู่ข้างหน้า
เอาเป็นว่า บริษัทประกันวินาศภัยหลายแห่งพลาดอย่างร้ายแรง มี 16 บริษัทที่รับประกันภัยแบบเจอจ่ายจบนี้เข้ามา (จาก 54 บริษัทที่ดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยในไทย) เมื่อเขาเจอปัญหา เขาก็พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เมื่อหมดหนทาง จึงต้องใช้วิธียกเลิกสัญญากลางคัน ยอมเสียชื่อเสียง ดีกว่าล้มละลายไปต่อหน้าต่อตา
แต่บังเอิญ คปภ.ไม่เล่นด้วย
จริงอยู่ คปภ.ต้องพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน แต่จะดูแลประชาชน จนปล่อยให้บริษัทประกันภัยที่บางตระกูลสร้างขึ้นมาต้องล้มไป เจ้าของบริษัทรับไม่ได้ เขาจึงต้องสู้แบบหลังชนฝา สู้ยิบตา
เจ้าของบริษัทประกันภัย เขารู้ดีว่าในการดำเนินธุรกิจ ต้องเชื่อฟังผู้คุมกฎ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ที่ผ่านมา เมื่อทางคปภ.ขอความร่วมมืออะไรมา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ช่วยได้ก็จะช่วย เช่น การออกกรมธรรม์ประกันภัยแท็กซี่ ประกันภัยข้าว ที่ส่วนใหญ่ขาดทุน หรือการขยายความคุ้มครองเรื่องค่ารักษาพยาบาล/ค่าชดเชยรายได้ไปถึงผู้ป่วยที่พักรักษาใน hospitel และ home isolation ทั้งที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขในกรมธรรม์
แต่ตอนนี้ พวกตนเดือดร้อน คปภ.น่าจะเห็นใจกันบ้าง อีกทั้งผู้บริโภคที่ถือกรมธรรม์อยู่ ก็ยังไม่ได้ติดเชื้ออะไร เพียงแต่ให้ช่วยรับเบี้ยประกันตามเวลาที่เหลือกลับไปเท่านั้นเอง บริษัทไม่ได้โกงค่าสินไหมใดๆสำหรับคนที่ติดเชื้อแล้วทั้งสิ้น
ที่ผ่านมา เขาก็ยอมรับอำนาจของคปภ.มาโดยตลอด แต่การออกคำสั่งนายทะเบียนที่ให้มีผลถึงกรมธรรม์ที่ขายไปก่อนหน้าคำสั่งจะออก ไม่น่าจะถูกต้อง กล่าวคือ ในกรมธรรม์มีเงื่อนไขให้บริษัทสามารถแจ้งยกเลิกสัญญาได้ แต่คำสั่งที่ออกมาคือห้ามใช้เงื่อนไขนี้ ถ้าคำสั่งคือกฎหมาย มันไม่ควรมีผลย้อนหลัง
ดังนั้น ข้อพิพาทนี้จึงต้องส่งให้ศาลปกครองชี้ขาด
งานนี้มีลุ้น บริษัทประกันภัยทำธุรกิจเลินเล่อจนมองข้ามความเสี่ยง ขณะที่คปภ.ก็พลาดที่ปล่อยให้บริษัทประกันภัยรับงานจนเกินขีดความสามารถของเงินกองทุนของบริษัท แถมยังไปอนุมัติเงื่อนไขให้บริษัทประกันภัยมีสิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์ก่อนครบสัญญาได้ (เงื่อนไขนี้มีมานานหลายทศวรรษแล้ว)
ทั้งสองฝ่ายต่างหลังชนฝา บริษัทประกันภัยมีความอยู่รอดของตนเป็นเดิมพัน ขณะที่คปภ.ต้องแสดงจุดยืนที่รักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค และรักษาความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัยในระยะยาว
งานจึงตกหนักที่ศาลปกครอง
ศาลจะตัดสินอย่างไรระหว่าง คุณธรรมและตัวบทกฎหมาย
ผมไม่ได้เรียนกฎหมาย แต่ผมรู้ว่าตัดสินยากครับ งานนี้ใช้ความรู้สึกไม่ได้ งานนี้จึงมีพลิกได้ตลอดเวลา ขอให้จับตาอย่ากระพริบครับ
หมายเหตุ ถึงแม้ในทางสากลจะมีเงื่อนไขให้บริษัทประกันวินาศภัยและลูกค้ามีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาของกันและกันได้ แต่บริษัทมักใช้สิทธ์กับลูกค้าบางรายที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปฎิบัติตัวของลูกค้า เช่น มีประวัติขับรถหวือหวา จนเคลมบ่อย หรือลูกค้าดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงภัยมากขึ้น เช่น มีการตุนน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น เมื่อความเสี่ยงภัยเปลี่ยน บริษัทจึงต้องใช้สิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์ เฉพาะลูกค้ารายนี้
แต่ในกรณีนี้ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติตัวของลูกค้า แต่เกิดจากปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้ความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น และถ้าบริษัทใช้สิทธ์ยกเลิก จะมีผลกระทบกับลูกค้านับแสนนับล้านราย ซึ่งการยกเลิกแบบเหมาเข่งแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ว่าในเมืองไทยหรือในต่างประเทศ

