คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าสองวันก่อนที่จะเกิดเหตุก่อการจลาจล มีผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงแค่ห้าร้อยคนเท่านั้นที่ได้รวมตัวกันเพื่อประท้วงการเลือกตั้ง แต่กลับปรากฏว่าในวันที่ 6 มกราคม 2021 ได้เพิ่มจำนวนไปมากถึง 30,000 กว่าคนทั่วสหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่าการก่อเหตุจลาจลในครั้งนั้นมีการวางแผนล่วงหน้าเอาไว้หรือไม่? หากย้อนกลับไปดูการหยั่งเสียงของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2020 ห้าเดือนกว่าๆก่อนจะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่ได้ออกมาเปิดเผยว่าอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน นำประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 14% อีกทั้งซีเอ็นเอ็นยังได้เปิดเผยอีกว่า คนอเมริกันพอใจในการบริหารประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์แค่เพียง 38% และที่ไม่พอใจมีสูงถึง 57% เท่ากับว่าเป็นลางร้ายบอกเหตุในการพ่ายแพ้ของประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้วกลายๆ!!! ตอนนั้นซีเอ็นเอ็นรายงานว่ามีการประท้วงที่หน้าทำเนียบขาวเป็นประจำแทบทุกวัน สืบเนื่องมาจากคนอเมริกันทั่วไปถึง 84% ต่างคิดกันว่า มีการเหยียดเชื้อชาติ จากการที่ตำรวจใช้ความรุนแรงต่อคนผิวสี อนึ่งสมาชิกพรรคเดโมแครต 42% เล็งเห็นว่า เป็นการประท้วงอย่างสันติสมเหตุสมผล แต่มีสมาชิกในพรรครีพับลิกันแค่เพียง 9% เท่านั้นที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯเกิดการแตกแยกต่อกันสูง ยิ่งใกล้เวลาวันเลือกตั้งเข้ามาเพียงสามสัปดาห์สำนักหยั่งเสียงของหนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ ได้ออกมาระบุว่า อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีคะแนนนำอยู่ที่ 8.9% และประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หากเขาแพ้การเลือกตั้งเขาจะเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้งจะมาถึงประธานาธิบดีทรัมป์ ได้บอกกับผู้ใกล้ชิดว่า เขาคงจะแพ้การเลือกตั้งอย่างแน่นอน และอีกแค่เพียงสองวันก่อนจะถึงวันเลือกตั้งเขาก็ได้ปรึกษากับผู้ใกล้ชิดวงใน อาทิ อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก รูดี จูเลียนี และ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจอห์น อิสต์แมน จากมหาวิทยาลัยแชปแมน ถึงการหาหนทางที่จะล้มล้างการเลือกตั้ง (Politico วันที่ 5 มกราคม 2021) ในช่วงก่อนที่สภาคองเกรสเตรียมจะลงมติรับรองผลการเลือกตั้งนั้น ปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกสมาชิกสภาคองเกรสเพื่อไปกดดันนักการเมืองพรรครีพับลิกันให้เข้ามาช่วยเหลือสกัดกั้นโจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี!!! และช่วงที่ถือว่าสำคัญที่สุดก็คือ ช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกดดันยัดเยียดให้ “รองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์”ขัดขวางยกเลิกกระบวนการรับรองผลการเลือกตั้ง โดยครั้งนั้นรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ ไม่เห็นด้วยและได้แจ้งให้ประธานาธิบดีทรัมป์รู้ว่า ตนไม่สามารถขัดขวางชัยชนะของโจ ไบเดนได้ อย่างไรก็ตามหลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2020 ผ่านไปแล้วนั้น ปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์มิได้แสดงน้ำใจนักกีฬาออกมาจับมือเชกแฮนด์ยอมรับการพ่ายแพ้ แต่กลับเคลื่อนไหวกระพือข่าวออกไปว่า ตนเองคือผู้ชนะและการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนั้น ตนถูกโกง ถูกขโมยคะแนนเลือกตั้ง และถูกหักหลังโดยระบบการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่ารัฐต่างๆทั่วประเทศจะพากันรับรองชัยชนะให้แก่โจ ไบเดน ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาแล้วก็ตาม!!! อีกทั้งการยื่นฟ้องร้องของคณะทนายความของเขาทั้งหมด 62 คดีและอีกสองคดีที่ส่งไปยังศาลสูงสุด กลับปรากฏอีกด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ แพ้เรียบราบคาบทุกๆคดี เพราะไม่มีอะไรสามารถจะนำไปพิสูจน์ได้ว่า มีการโกงคะแนนเลือกตั้งเกิดขึ้น และวันแห่งความอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯก็มาถึงนั่นก็คือ วันที่ 6 มกราคม 2021 โดยวันนั้นประธานาธิบดีทรัมป์หวังจะให้เป็นวันพิชิตชัย หวังใจให้เป็นวันล้มล้างการเลือกตั้ง โดยมีการก่อเหตุจลาจลขึ้นที่หน้ารัฐสภาสหรัฐฯที่มีผู้ประท้วงสามหมื่นกว่าคนผนึกพลังหน้ารัฐสภา และผู้สนับสนุนเขาอีกเกือบเจ็ดร้อยคนบุกเข้าไปในรัฐสภา เพื่อต้องการที่จะพลิกผลการเลือกตั้งให้โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย!!! แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนั้นกลุ่มผู้ประท้วงผู้หลงใหลคลั่งไคล้ในตัวของประธานาธิบดีทรัมป์หมายมั่นปั้นมือต้องการจะจับตัวรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ เอาไปแขวนคอ ทั้งๆที่กำลังทำหน้าที่ประธานการประชุมกับสมาชิกสภาคองเกรสในการรับรองผลการเลือกตั้ง เพื่อให้โจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 อย่างเป็นทางการ แต่โชคดีที่หนีรอดไปได้หวุดหวิดเส้นยาแดงผ่าแปด แทบจะไม่น่าเชื่อว่า ผู้ก่อเหตุจลาจลพยายามหาตัว ประธานสภาผู้แทนฯแนนซี เพโลซี เพื่อต้องการที่จะจับเธอไปแขวนคอทำนองเดียวกันกับรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ด้วยเช่นกัน แทบไม่เชื่ออีกที่สมาชิกรัฐสภาหลายๆคนขณะที่กำลังร่วมประชุมต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด โดยบางคน อาทิ “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์” เกือบจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ก่อการจลาจล และยังมีนักการเมืองบางคนต้องหลบเข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในตู้เก็บของ แทบไม่น่าเชื่อที่ตำรวจผู้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในรัฐสภาจะถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหลายๆคน และยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียชีวิต ไปถึง 5 นายและฆ่าตัวตาย 4 คน!!! แทบไม่น่าเชื่อที่ผู้ก่อการจลาจลยังเข้าไปทำลายทรัพย์สินของรัฐสภาจนได้รับความเสียหายมหาศาล และแทบจะไม่น่าเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้เลยว่า สมาชิกของพรรครีพับลิกันถึง 40% ต่างเชื่อกันว่า การประท้วงที่สร้างความรุนแรงทำนองนี้สมเหตุสมผล ในขณะที่สมาชิกในค่ายพรรคเดโมแครตถึง 96% บอกว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงไม่สมเหตุสมผล โดยอดีตประธานาธิบดีถึง4 ท่าน อันได้แก่ “ประธานาธิบดีบิล คลินตัน” “ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุช” “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” และ “ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์”ได้ออกมากล่าวประณามการก่อเหตุจลาจลว่า เป็นการกระทำที่แสนจะรุนแรง สำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากที่เคยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ต้องการจะเอาตัวเข้าไปแลก แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะอดรนทนไม่ไหวถึงกับออกมากล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์อย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นผู้ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติทำให้มีผู้เสียชีวิต และยังได้แสดงความกังวลห่วงใยต่อระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาในอนาคตอีกด้วย ส่วนวุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ ที่เกือบจะตกเป็นเหยื่อของผู้ก่อการจลาจล ก็ออกมากล่าวยกย่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยได้กล่าวว่า “ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก และไม่สามารถมั่นคงอยู่ได้ หากปราศจากผู้นำที่ซื่อสัตย์” ขณะนี้มีคาดการณ์ล่วงหน้าว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆเพื่อต้องการหวนกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งโดยจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการโกลาหลรุนแรงกว่าเหตุการณ์ 6 มกราคม 2021 โดยศาสตราจารย์กฎหมายและรัฐศาสตร์ “Richard L. Hasen” แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ เมือง Irvine ได้เขียนบทความหลายชิ้นที่ ได้ชี้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรีบด่วนโดยระบอบประชาธิปไตยกำลังอยู่ในภาวะอันตรายและเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีเลือกตั้ง 2024 โดยค่ายพรรครีพับลิกันจะหาทางขะโมยการเลือกตั้งในรัฐแอริโซนา เทกซัส จอร์เจีย เพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน มิชิแกน อีกทั้งโดยประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้เล่ห์เหลี่ยมทฤษฎีหลอกลวงโฆษณาชวนเชื่อว่าค่ายพรรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายคอร์รัปชันอีกทั้งประธานาธิบดีทรัมป์จะหาทางขัดขวางไม่ให้นักการเมืองในพรรครีพับลิกันคนใดกล้าขัดขืนต่อต้านท้าทายเขาโดยเขาจะกลายเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน (“No One is coming to save us from the “Dagger at the Throat of America” ( New York Times, January 7, 2022) ส่วนค่ายพรรคเดโมแครตนำโดย ส.ส.Jamie Raskin จากรัฐแมริแลนด์ที่จบกฎหมายจากฮาร์วาร์ดและที่เคยเป็นผู้จัดการขบวนถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเคลื่อนไหวเพื่อหาทางพิสูจน์ว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อการจลาจลกับเหตุการณ์ 6 มกราคม 2021 โดยจะหาทางให้ศาลพิจารณาตีความว่าผู้ที่พยายามล้มล้างและทำลายรัฐธรรมนูญจะไม่มีสิทธิได้รับเลือกประธานาธิบดี กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเหตุการณ์ของวันที่ 6 มกราคม 2021 มีเรื่องราวที่เหลือเชื่อเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งนับเป็นจุดมืดบอดที่ผู้นำเยี่ยงประธานาธิบดีทรัมป์หันหลังให้กับรัฐธรรมนูญที่สหรัฐฯเคยเป็นต้นแบบอันดีในระบอบประชาธิปไตย จนเกิดด่างพร้อยเป็นรอยมลทิน ซึ่งการเล่นเรียลลิตี้การเมืองรายการ “ทรัมป์โชว์” ล้วนแล้วแต่มีภาพลักษณ์ด้านลบ ยากแก่การซ่อมแซมให้กลับมาดีเหมือนดั้งเดิมได้ละครับ