ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
จ่าสมจินต์นับถือว่า การบูชาพ่อแม่คือบูชาสูงสุดในชีวิตของทุกคน
ครอบครัวสมัยก่อนโดยเฉพาะในต่างจังหวัดจะมีลูกกันครอบครัวละมาก ๆ อย่างน้อยก็จะมีลูกกัน 5 - 6 คน อย่างสมจินต์ก็จะมีพี่น้องถึง 6 คน โดยสมจินต์เป็นลูกรองสุดท้อง พอแม่คลอดลูกคนสุดท้องคือน้องของสมจินต์แล้ว แม่ก็เสียชีวิต ทำให้พ่อต้องแบ่งลูก ๆ ไปอยู่กับปู่ย่าเสียครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งก็ไปให้ตายายช่วยเลี้ยง พอสมจินต์จบชั้นประถมปลาย พ่อก็มาเสียชีวิตอีกคน แล้วต่อมาปู่กับย่าและตากับยายก็มาเสียชีวิตไปไล่ ๆ กัน แต่ก็โชคยังดีที่ยังมีญาติคนอื่น ๆ ช่วยกันดูแล โดยสมจินต์ได้มาอยู่กับน้าชายในตัวจังหวัด จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมที่นั่น ก่อนที่จะได้สมัครเข้าเป็นตำรวจใน พ.ศ. 2476 ตอนที่เขาอายุได้ 18 ปี โดยประจำอยู่ในโรงพักที่ตัวเมืองเกือบ 10 ปี ก่อนที่จะถูกย้ายออกมายังอำเภอรอบนอก และได้ถูกโยกย้ายอยู่ 2 - 3 ครั้ง ก่อนที่จะได้มาประจำอยู่ในอำเภอที่เขาลงเลือกตั้ง ที่ได้อยู่มาถึง 20 ปี ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2518 ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของผู้คนเป็นอย่างดี ด้วยความเป็นตำรวจที่ไม่เหมือนตำรวจคนอื่น จึงมีนักการเมืองมาชวนลงสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 แต่เขาขอรอให้เกษียณเสียก่อน ซึ่งก็เป็นโชคดีของเขาที่ในปีต่อมาก็มีการเลือกตั้ง และชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนราษฎรอย่างที่ไม่ได้คาดหวังเท่าใดนัก
ตอนที่อยู่ในเมืองเพื่อเรียนในชั้นมัธยม เขาได้ไปอาศัยอยู่กับญาติของน้าชายที่วัดพระธาตุ ที่นั่นได้ปลูกฝังหลายสิ่งหลายอย่างให้กับเขา ตั้งแต่การดูแลพระ ช่วยงานในวัด ต้องตื่นตั้งแต่ก่อนสว่าง พอได้ยินไก่ขันแรกก็ต้องรีบลุก เก็บที่นอนหมอนมุ้ง ล้างหน้าล้างตา นุ่งผ้าใส่เสื้อให้เรียบร้อย พอไก่ขันสองที่จะห่างกันสักชั่วหม้อข้าวเดือดก็ต้องมาพร้อมที่หน้ากุฏิ ตอนนั้นฟ้าเริ่มสางมีแสงสว่างประมาณพอมองเห็นลายมือ หลวงพ่อก็จะลงมาจากกุฏิ เขาและเด็กวัดอื่น ๆ ก็เดินถือย่ามตามหลวงพ่อหลวงพี่ที่แต่ละคนดูแล ออกไปที่ตลาดและบ้านเรือน หลวงพ่อหลวงพี่รับบาตรไป เด็กวัดก็รับของใส่ย่าม พวกห่อกับข้าวห่อขนม (สมัยนั้นไม่มีถุงหรือกล่องพลาสติก) ส้มสูกลูกไม้ ดอกไม้ ธูปเทียน สมัยนั้นไม่นิยมเอาเงินใส่ในบาตรหรือใส่ซองให้พระ พอกลับมาที่วัดก็จัดของจานชามให้เป็นระเบียบสวยงาม เมื่อพระฉันเสร์จถึงจะกินได้ แล้วก็ต้องรีบกินเพราะต้องรีบแต่งตัวไปโรงเรียน เด็กวัดส่วนใหญ่จะไม่ได้อาบน้ำในตอนเช้า แต่จะกลับมาอาบในตอนบ่ายหรือค่ำทีเดียวเลย บางทีก็ก่อนนอน เพราะต้องมาทำความสะอาดกุฏิ ล้างถ้วยชามที่ยังไม่ได้ล้างในตอนเช้า รวมถึงปรนนิบัติหลวงพ่อก่อนนอน เช่น บีบนวด หรือชงน้ำชา น้ำขิง ให้หลวงพ่อฉัน ถ้าช่วงไหนใกล้สอบไล่จะยุ่งมาก เพราะต้องอ่านหนังสือถึงจนดึกและต้องตื่นแต่เช้า แต่สมจินต์ก็ทำได้จนเกิดความเคยชิน แม้แต่ตอนที่ทำงานเป็นตำรวจแล้ว แม้จะเข้าเวรดึกดื่นปานใด เขาก็ตื่นเช้าได้ทุกวัน ซึ่งก็คงจะเป็นผลมาจากการที่เคยเป็นเด็กวัดนั่นเอง
การได้อยู่วัดใหญ่ ๆ ในเมือง ทำให้เด็กวัดที่ขยันหลายคนมีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัวได้จำนวนพอควร สมจินต์ก็อยู่ในจำพวกคนที่หนักเอาเบาสู้ อะไรที่เป็นเงินก็อาสารับทำหมด เช่นในวันหยุด พอเสร็จจากหน้าที่ประจำในวัด ก็ออกไปรับจ้างตัดหญ้าเลี้ยงวัว ซึ่งคนในพื้นที่ภาคนั้นนิยมเลี้ยงวัวไว้ชนต่อสู้แข่งขันเล่นพนันกัน จึงต้องใช้หญ้าที่ขึ้นในพื้นที่ริมหนองบึงที่เป็นหญ้าพันธุ์พิเศษ วัวกินแล้วจะแข็งแรงมีพลังเยอะ บางวันก็ไปรับจ้างปีนต้นมะพร้าว แต่ด้วยรูปร่างที่อ้วนเตี้ยมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้เขาปีนได้ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก แต่เขาเขาก็พยายามจนสามารถปีนได้มากกว่าใคร ๆ ด้วยลูกอึดคือความอดทนไม่ยอมเลิกง่าย ๆ บางทีมืดค่ำก็ยังปีนได้ เพราะเจ้าของต้องเอามะพร้าวไปขายแม่ค้าขนมที่จองไว้จำนวนมากในยามเทศกาลงานบุญ อีกงานหนึ่งที่เด็กวัดบางคนไม่กล้าทำก็คือ รับจ้างนอนเป็นเพื่อนศพ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่งานที่น่ากลัวอะไร คือธรรมเนียมของคนภาคใต้ในบางพื้นที่ เมื่อเอาศพไปไว้ที่วัดหรือตั้งอยู่ในบ้านก็ตาม จะมีการกินเลี้ยงหรือเล่นการพนันกันทั้งคืน นัยว่าให้อยู่เป็นเพื่อนศพ แต่ก็มีบางครอบครัวที่ไม่ได้มีเลี้ยงหรือมหรสพแบบนั้น จะหาคนมานอนเป็นเพื่อนศพ บางทีก็ได้ญาติพี่น้องมานอน แต่ส่วนมากญาติพี่น้องก็จะต้องออกทำมาหากินแต่เช้า เช่น ต้องออกไปกรีดยาง ก็ต้องไปจ้างอื่นมานอน ที่มีมากก็คือเด็กวัดนี่แหละ เพราะหลายคนก็ชินกับการนอนที่ในวัด ใกล้เมรุ ใกล้ศาลาตั้งศพ จึงสะดวกแก่การจ้างวานให้มานอนเป็นเพื่อนศพ หน้าที่สำคัญก็คือจะต้องคอยจุดธูปหน้าโลงศพอย่าให้หมดควันเสียได้ เพราะเขา(ชาวบ้าน)ถือกันว่า ถ้าธูปหมดวิญญาณก็จะหลงทางกลับเข้าร่างไม่ได้ และจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด เพราะการจุดธูปคือการส่งบุญที่ญาติพี่น้องนั้นได้ทำส่งไปให้นั่นเอง
สมัยนั้นมีคนที่มาอาศัยวัดทำมาหากินหลาย ๆ รูปแบบ ที่นิยมกันมากคือพวกหมอดูและหมอทำเสน่ห์ ที่รวมถึงพวก “เล่นของ” หรือนิยมคุณไสย ทั้งอาบว่านหนังเหนียว สักยันต์พิสดารทั้งหลาย ขายตะกรุดยิงฟันไม่เข้า และทำลูกกรอก (คือเอาศพเด็กมาทำพิธีให้เป็นก้อนเล็ก ๆ เอาไว้บูชา มีอิทธิฤทธิ์ให้ความคุ้มครองปลอดภัย และช่วยให้กิจการต่าง ๆ ประสบความสำเร็จ ในทำนองกุมารทองในเรื่องขุนช้างขุนแผน) เจ้าพิธีหรือหมอเวทมนตร์เหล่านี้ บางทีก็ร่วมมือกันกับพระบางรูปทำมาหากินด้วยกันเป็นล่ำเป็นสัน พระบางรูปก็เป็นเจ้าพิธีเสียเอง ซึ่งการควบคุมดูแลเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องลับหูลับตาผู้คน โดยเฉพาะในวงการสงฆ์ที่ไม่ค่อยจะเอาไหนในเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ยิ่งมีการปล่อยปละละเลยจนเลอะเทอะ ชาวบ้านถูกมอมเมาจนเชื่อในคุณไสยเหล่านี้ไปจนเกือบหมด สมจินต์เองในสมัยนั้นก็หลงใหลไปด้วยเช่นกัน ถึงขั้นไปเรียนวิชาอาบน้ำมันว่านและลงอาคมกลางกระหม่อม ในตอนที่เป็นตำรวจใหม่ ๆ แต่ก็ไม่กล้าสักยันต์ ซึ่งเขาอยากจะสักรูปหนุมานคลุกฝุ่น ที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์พรางตัวไม่ให้คนเห็นได้ ทั้งยังมีกำลังมากเหมือนหนุมาน ที่สามารถล้มยักษ์ตัวโต ๆ นั้นได้ แต่ด้วยระเบียบของทางราชการสมัยนั่นจะไม่รับคนที่สักยันต์ให้เข้ารับราชการ รวมถึงแม้แต่ที่เป็นข้าราชการแล้ว ถ้าไปสักยันต์ก็จะถูกลงโทษทางวินัยถึงขั้นไล่ออก
ช่วงที่เขาอยู่วัดพระธาตุ เมื่อได้เห็นพิธีกรรมทั้งหลายเหล่านั้น เขาก็เกิดความคิดขึ้นว่า เขาน่าจะหาสิ่งที่เป็นมงคลมาติดตัวไว้บ้าง เขาเห็นคนมากราบไหว้พระธาตุซึ่งก็คืออัฐิของพระพุทธเจ้าทุกวัน จนเข้าใจซึ้งว่าในฐานะพุทธศาสนิกชน สิ่งนับถือสูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า เมื่อมองว่าคนทุกคนเกิดมาจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่นับถือสูงสุดของทุกคน เขาจึงกลับไปที่วัดแถวบ้านแล้วไปหากระดูกพ่อกับแม่มาได้จำนวนหนึ่งไม่มากนัก แล้วเอามาทำพิธีตามที่ได้รับการสั่งสอนจากพระพลวงพี่รูปหนึ่ง แรก ๆ ก็ห่อผ้าเหน็บไว้ที่เอว สมัยต่อมาเมื่อมีคนทำตะกรุดอะลูมิเนียมได้ เขาก็เอาชิ้นกระดูกพ่อกับแม่ทำเป็นตะกรุดคนละอันแขวนไว้ที่เอวแต่ละข้างแทน ซึ่งเขาก็เชื่อว่าที่เขาเจริญรุ่งเรืองและอยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด ก็ด้วยตะกรุดกระดูกพ่อและแม่สองอันนี้
ตะกรุดทั้งสองนี้เขาจะถอดแต่เฉพาะเวลาอาบน้ำและแขวนไว้ใต้หิ้งพระเสมอถ้าไม่ได้ออกไปไหน