ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “เริ่มต้นชีวิตปีใหม่ ด้วยการทบทวนตัวเองเงียบๆผ่านหลักคิดที่คอยย้ำเตือนสตินานา หลายขณะความเรียบง่ายที่แฝงเร้นได้มีส่วนทำให้ชีวิตได้พบกับข้อประจักษ์อันเป็นคุณประโยชน์ต่อหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อเรามีย่างก้าวที่พลั้งพลาดจนกระทั่งหลงลืมภาวะที่ควรจะเป็นอันมีค่าของตนเอง ....อย่าปล่อยให้คนอื่นข้ามผ่านชีวิตเข้ามาเตือนสติเรา แต่มันสมควรยิ่งที่จะเป็นเราที่ต้องคอยปลุกเร้าความรู้สึกเพื่อเตือนสติตนเองให้คงมั่นอยู่เสมอ ...มันคือวิถีแห่งจิตวิญญาณที่ควรค่าต่อการเรียนรู้ จดจำ และ รอคอยต่อการปฏิบัติอันมีค่ายิ่ง” สำนึกชีวิต ณ เบื้องต้นนี้ คือคุณค่าของหนังสือที่มีใจความกระทบใจ และ ทอดยาวสู่การเก็บความเพื่อหนุนนำหัวใจในการสร้างค่าแห่งวิถีของการปฏิบัติอันเป็นอรรถประโยชน์ต่อโลกของการมีชีวิตอยู่ ณ วันนี้... “สิ่งที่คนอื่นบอกเรา ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เราบอกตนเอง” งานเขียนของ “ง่วง” เจ้าของ “เพจบันทึกนึกขึ้นได้” ซึ่งมีผู้ติดตามมากถึงกว่า ห้าแสนคน...ที่ส่งผลต่อการรับรู้และการเลือกทบทวนบทบาทแห่งการกระทำของชีวิตขณะที่ก้าวย่างไปข้างหน้า....35บทความที่ “ง่วง” ได้เขียนไว้เพื่อบอกกล่าวถึงการนำพาชีวิตให้ได้สัมผัสถึงผัสสะแห่งใจและตัวตนอันจริงแท้ล้วนคือ พาหนะแห่งใจที่มีส่วนช่วยให้เราทุกคน ไปพบกับความฝัน ความทรงจำ และอีกหลากหลายเรื่องราวที่จบไปแล้วและกำลังดำเนินอยู่...การทบทวนชีวิตผ่านประเด็นต่างๆเหล่านี้นับเป็นวิถีแห่งปัญญาที่เสริมส่งเราให้สามารถต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆทั้งกายและใจได้... มันคือพลังแห่งความจริงที่ตัวตนของเราเป็นผู้สร้างสรรค์ซึ่งควรค่าแก่การปรากฏต่อการแสดงบทบาทออกมาอย่างชัดแจ้ง.. ว่ากันว่า...ถ้าการมีชีวิตอยู่คือการหยิบเอาของที่สำคัญใส่กระเป๋าเป้สะพายไปด้วย ในกระเป๋านั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง แน่นอนว่า...สิ่งเหล่านี้ย่อมมีความสำคัญต่อการเดินทางไปข้างหน้าจริงๆหรือเปล่า?...หรือเป็นเพียงสิ่งที่หยิบมาใส่ในตอนไหนก็จำไม่ได้..แต่เรากลับไม่กล้าหยิบมันออกมาใช้สักที...เราอาจรู้ทั้งรู้ว่า...ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะแบกสิ่งอันเปรียบดั่งภาระนี้กันต่อไป แต่ก็เสียดายที่ใจชอบไพล่คิดไปว่าวันหน้าอาจมีโอกาสได้ใช้มัน..หากสังเกตตนเองให้ดีเราจะพบว่า...ชีวิตที่เป็นอยู่ ณ วันนี้มันหนักหนาสาหัส เพราะข้างในเราต่างแบกอะไรกันอยู่อย่างมากล้น...ลองเปิดกระเป๋าใบนั้นดูแล้วค่อยๆเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมาวาง...เราก็จะพบได้เองถึงภาวะแห่งข้อตระหนักที่ว่า...สิ่งไหนควรที่จะทิ้งไป หรือสิ่งไหนที่ยังสมควรจะเก็บไว้... จะเห็นได้ว่าภาวะในแต่ละภาวะของชีวิต ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเราเสมอ ดังนั้นจึงสมควรที่เราจะต้องให้เวลาและโอกาสแก่ตนเอง เพื่อทบทวนถึงนัยแห่งชีวิตต่างๆที่จะผ่านข้าม หยั่งเห็นถึงสิ่งที่มีและสิ่งที่ไม่มี....สิ่งที่ต้องการหรือสิ่งที่ไม่ต้องการ...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวตนของเราทั้งสิ้น...แนวคิดเช่นนี้สร้างพลังบวกแก่จิตวิญญาณ โดยผ่านการมองโลกอย่างที่มันควรจะเป็น...ซึ่งส่งผลต่อการให้กำลังใจชีวิต...การจุดประกายความหวัง ที่สามารถปลอบใจเราได้เหมือนเพื่อน...ช่วยให้เราได้หยั่งเห็นว่า...ชีวิตเราหาได้เผชิญกับเรื่องร้ายเพียงลำพัง.แต่อย่างใดไม่... “ไม่มีใครสนใจเราอย่างที่คิดไปเองหรอก....หลายครั้งที่ไม่กล้าทำอะไรบางอย่างเพราะกลัวว่า...เดี๋ยวคนนั้นจะคิดอย่างนั้น คนนี้จะคิดอย่างนี้ เกรงใจคนโน้น เกรงใจคนนี้...จนทำให้เราเสียโอกาสดีๆไป..แต่อะไรที่คุณทำหรือไม่ทำในวันนี้...อะไรที่คุณเป็นหรือพยายามที่จะเป็นอยู่ในตอนนี้..พรุ่งนี้ก็อาจไม่มีใครมาสนใจอะไรเลย” ข้อคิด...ต่อความคิดนานาในข้อนี้คือเครื่องชี้ต่อสถานะของตัวเองที่ทั้งลังเลและไม่มั่นคง การติดยึดกับความรู้สึกของคนอื่นอย่างหวั่นเกรงนั้น ได้กลายเป็นจุดอ่อนของการมีชีวิตอยู่ที่เลือกจะย้อนแย้งกับความเป็นจริงของความรู้สึกจริง...เหตุนี้เราจึงสมควรและใคร่ครวญถึงการคิดในแต่ละครั้งของตัวเองให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก หรือตัดสินใจกระทำต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดสักอย่าง... “ไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าเมื่อต้องการใช้แล้วมันไม่มี” แนวคิดเผื่อเลือกเช่นนี้ แท้จริงสร้างภาระต่อการแบกรับในตัวตนอย่างยิ่ง แต่ด้วยความลังเลทางความคิด ก็นำไปสู่การใช้ชีวิตแบบเผื่อเลือก ....การเก็บเอาสิ่งต่างๆสะสมไว้...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดมันเปรียบเหมือนการพะนออัตตาอย่างเต็มใจและไม่รู้ตัว นั่นหมายถึงว่า ...เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ใจที่ไม่กล้าปลดปล่อยภาระเอาไว้ เพื่อจะได้หยั่งเห็นภาพพจน์อันจะนำไปสู่การก่อเกิดปัญหานั้นให้ได้....กระทั่งสามารถสละและสลัดแอกแห่งความหลงใหลนั้นได้หลุด... “สิ่งบางสิ่งไม่ต้องรีบทำก็ได้ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่” ในประเด็นนี้คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า..ความเชื่องช้าในชีวิตนั้นเป็นจุดบอด เป็นแง่ลบต่อชีวิต...และคิดกันไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกิน ไม่ทันคนอื่น...แต่แท้จริงแล้วคนเราไม่จำเป็นต้องเร่งรีบต่อชีวิตนักก็ได้...เพราะหลายๆสิ่งกว่าจะคุ้นเคยและรู้จักก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนานพอสมควร กว่าที่จะค้นหาความหมายได้พบ ส่วนผู้คนอีกมากมายก็ต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง เพื่อจะเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนกลายเป็นความรู้จักมักคุ้นอันสมบูรณ์ “ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยถูกปฏิเสธ” การถูกปฏิเสธสำหรับใครบางคนอาจถือเป็นความเจ็บปวดและเสียหน้า...แต่มันก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องอับจนภาวะแห่งตัวตนใดๆ...ตัวเราไม่ได้ไร้ค่า หรือ ด้อยค่าลงแต่อย่างใด...คำว่าไม่นั้น...ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นการจบ แต่มันคือ บทเรียนหนึ่งของการเรียนรู้วิถีแห่งสัจจะ...ที่เราไม่สมควรเก็บนำมาคิดจนทำอะไรต่อไปไม่ได้...ลองพยายามใคร่ครวญและหาโอกาสในการพัฒนาตนเอง...เพื่อจะได้ทำเงื่อนไขนานาของชีวิต ให้พัฒนายิ่งๆขึ้นจะดีกว่า..ให้ถือว่า...การนำเสนอมิติต่างๆในวงจรชีวิตนั้นเป็นเรื่องของเรา...ส่วนการปฏิเสธในแง่มุมต่างๆนั้นเป็นหน้าที่ของคนอื่นไป... “ความฝันในใจ ที่เข้าใกล้ไม่ได้สักที” อย่าสิ้นหวังกับฝันแห่งชีวิตของตนเอง...มันคือแรงขับที่ซ่อนอยู่ และรอคอยเวลาที่จะส่งพลังออกมาให้ปรากฏ...ความฝันคือสิ่งที่เกิดกับตัวเรามันอยู่ใกล้ลมหายใจเราที่สุด อย่าผลักไสมันให้ออกไปไกลจากเรา เพราะนั่นเท่ากับเป็นการขจัดแรงใจที่ล้ำลึกให้ออกไปไกลจากแรงบันดาลใจของเราอย่างเปล่าดาย “ไม่คาดหวัง ก็ไม่น่าจะผิดหวัง” กระทำทุกสิ่งด้วยหัวใจที่เป็นสุข รื่นรมย์และเข้าใจต่อการกระทำนั้นๆ...อย่าบีบบังคับตัวเองให้ต้องคาดหวังต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนควบคุมไม่ได้ เคี่ยวกรำตนเองให้ต้องบรรลุสู่ความสำเร็จ...นั่นคือการผูกมัดตัวเองให้ต้องมีพันธนาการกับความคาดหวังซึ่งอาจจะพลาดหวังหรือพลาดเป้าไปก็ได้...สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์สามัญที่อาจเกิดขึ้นได้กับชีวิตทุกๆชีวิต ตามจังหวะแห่งการก้าวย่างที่ไม่รู้จบ...การรู้จักผ่อนปรนและหวังถึงชีวิตที่ง่ายงามและไม่ซับซ้อนต่อการคาดหวังจนเกินไปนัก...คือทางรอดของความหวังที่จะไม่ผิดหวังเสมอ “ไม่เลือกสักอย่างคือ..การเลือกอย่างหนึ่ง” ภาวะแห่งการเลือกที่ไม่เลือกในชีวิต คือการปกป้องตัวเองเพื่อไม่ให้เผชิญกับความผิดหวังด้วยแรงปะทะที่รุนแรง การยืนยันที่จะยึดมั่นวิถีชีวิตกับความคุ้นชินเดิมๆคือทางรอดที่ต้องเรียนรู้ผ่านความเคยคุ้นที่เป็นจริงอันถ่องแท้...การไม่ขยายอาณาเขตของชีวิตออกไปเกินกว่าความรู้จักมักคุ้นแม้จะเป็นการไม่ขยายโลกทัศน์ออกไปกว้างนัก แต่ก็เป็นการยืนยันถึงว่า..ชีวิตได้เลือกถึงการดำรงอยู่ในฐานะชีวิตหนึ่งแล้ว.. “ก่อนที่อายุ 20 ปีจะผ่านไป อะไรคือสิ่งที่ชีวิตควรรู้บ้าง” นั่นคือมิติปริศนาของการเติบโตของชีวิต...เราต้องมีต้องเป็นในเชิงปฏิบัติเช่นไร..ต้องมีต้องเป็นในช่วงคาบเกี่ยวแห่งวัยเช่นไร?...เหล่านี้คือนัยความจริงที่ต้องเรียนรู้ที่จะหลอมรวมกันขึ้นเป็นประสบการณ์สำนึก....ที่จะสามารถก่อเกิดเป็นความหมายแห่งตัวตนของชีวิต การตระหนักคิดในบริบทแห่งวัยวารคือ บทสรุปอันงดงามและมีชีวิตชีวายิ่งของความเป็นชีวิต “ความฝันในใจที่เข้าใกล้ไม่ได้สักที” บทสรุปในเชิงความคิดที่เป็นแรงส่งทางจิตวิญญาณให้ก้าวไปได้ถึงความวาดหวังนานาชนิด ..คือการอย่าปล่อยให้ความหวังที่ปะทุขึ้นในใจของชีวิตต้องเสียใจ โดยไม่พยายามจะเข้าหาและพัฒนาไปสู่ความสำเร็จ...จงบอกกล่าวกับชีวิตเสมอว่าความฝันแห่งใจของตนนั้นสำคัญเสมอต่อการขับเคลื่อนตัวตนให้ก้าวไปข้างหน้า...กระทั่งบรรลุสู่ภาพร่างแห่งความเป็นชีวิตอันควรจะเป็นอย่างแท้จริง... ทั้งหมดในข้อคิดแห่งสิ่งทั้งหมด ที่...ตีความและแปลความออกมาจากหนังสือเล่มนี้ คือเสียงแห่งบทสะท้อนของตัวตนที่ถ่ายทอดออกมาด้วยวิถีแห่งปัญญาและการหยั่งรู้ที่เปี่ยมเต็มไปด้วยวิถีคิดอันชวนจดจำและปฏิบัติ...ยิ่ง ณ ขณะที่โลกแห่งชีวิตต้องแบกรับภาระแห่งความเป็นไปที่เต็มไปด้วยวิบัติกรรม...ชีวิตที่ประคับประคองด้วยหลักคิดจากความเข้าใจสภาพการณ์ของความเป็นจริงอย่างรื่นรมย์และเข้าใจ จึงเป็นสิ่งที่เป็นความหมายอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดอันเป็นนิรันดร์...จริงแท้... “โปรดบอกตัวเองด้วยความจริงจากใจ...แล้วเราจะรู้ว่าตัวตนของตนนั้นสำคัญยิ่ง”