ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
โลกลี้ลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
จ่าสมจินต์ที่คนในพรรคกิจสังคมเรียกสั้น ๆ ว่า “จ่าจิน” น่าจะเป็นใกล้ ๆ สุดท้ายที่ได้ไปรายงานตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 เพราะกว่าจะได้ไปรายงานตัวก็หลังสงกรานต์เข้าไปแล้ว จนชาวบ้านที่เชียร์แกใจหายใจคว่ำว่าแกคงไม่อยากเป็น ส.ส. หรือกลัวการเป็น ส.ส.นั้นเสียแล้ว ซึ่งคนที่รู้ดีที่สุดก็คือเมียของแกเท่านั้น เพราะแกบอกว่าแกต้องไปทำ “ธุระ” หลายที่ ตั้งแต่ต้องไปวัดพระธาตุ ที่ตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดเขียนบางแก้ว ที่เขาชัยสน พัทลุง และหลวงพ่อในวัดป่าที่บ้านนาสาร สุราษฎร์ธานี โดยบอกว่าจะรีบไปรีบมาสัก 3 - 4 วัน แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเกือบสิบวัน จนทางจังหวัดต้องให้นายอำเภอมาตามหาแก และบอกว่าให้แกรีบจับเครื่องบินไปกรุงเทพฯโดยด่วน กระนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะแกไม่เคยขึ้นเครื่องบิน และกลัวเครื่องบินอย่างหนัก ทางอำเภอก็เลยต้องจัดตั๋วรถไฟชั้น 1 ให้ตามสิทธิของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่พอไปถึงสถานีรถไฟแกก็ขอมานั่งแค่ชั้น 2 ที่ไม่ต้องมีแอร์คอนดิชั่น และการเดินทางก็เป็นที่ทุลักทุเลมาก เพราะแกไม่ค่อยได้ออกจากบ้านที่นครศรีธรรมราชราช ไปไหนต่อไหนไกล ๆ
ย้อนกลับในเรื่องที่แกไปตามวัดต่าง ๆ ก่อนไปรายงานตัว มีคนร่ำลือว่าเห็นแกไปทำพิธีบางอย่างอยู่ในสถานที่เหล่านั้น เช่นที่วัดพระธาตุ นอกจากจะไปกราบบูชาพระธาตุเหมือนอย่าชาวบ้านทั่วไปแล้ว แกยังไปทำพิธีแก้บนที่หน้าองค์จตุคามรามเทพ (ที่เชื่อกันว่าองค์จตุคามฯของวัดพระธาตุนี้คือ “ต้นแบบ” ของการจัดทำเหรียญและรูปปั้นจตุคามฯที่แพร่หลายในอีก 20 กว่าปีต่อมา โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2548 - 2550 องค์จตุคามฯของบางสำนักนั้นปั่นราคาขึ้นไปสูงเป็นหลักแสนหลักล้านบาท) ส่วนที่วัดเขียนบางแก้ว แกก็ไป “นั่งบริกรรม” อยู่ในฐานเจดีย์จนข้ามคืน และที่วัดป่าอำเภอบ้านนาสาร ก็มีคนเห็นแกไปนุ่งขาวห่มขาว ร่วมทำวัตรเช้าเย็นกับหลวงพ่อที่แกนับถือและพระเณรในวัดนั้นอยู่ 3 วัน 3 คืน เรื่องนี้มีคนไปถามแกในภายหลัง แกก็เล่าให้ฟังว่า แกไปแก้บนที่วัดพระธาตุนั้นจริง ๆ เพราะเมียแกนั่นแหละไปบนไว้ ส่วนที่ไปวัดเขียนบางแก้วกับวัดป่าที่บ้านนาสารนั้น เป็นสิ่งที่แกเคารพนับถือเป็นส่วนตัว ซึ่งพอแกรู้ว่าจะต้องไปทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรที่กรุงเทพฯ แกก็เกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ อย่างหนึ่งเพราะแกไม่รู้ว่า ส.ส.จะต้องทำอะไรบ้าง ถ้าทำไม่ดีอาจจะถูกชาวบ้านด่าอย่างที่แกเคยเห็น ส.ส.หลาย ๆ คนโดนมาแล้ว จนกระทั่งเสียผู้เสียคน หรือกลายเป็นอีกคนละคนเลยก็มี อีกอย่างหนึ่งก็ถ้าแกถูกชาวบ้านด่าอย่างนั้น แกก็กลัวว่า “คุณพระคุณเจ้า” ที่คุ้มครองปกปักดูแลรักษามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนั้นจะเสื่อม แกก็ต้องหาทางป้องกันตัว โดยไปขอพรจากสิ่งที่เคารพนับถือนั้นให้คุ้มครองตัวแก และนี่แกเข้าไปกรุงเทพฯ ซึ่งแกก็เคยรู้มาว่าพระสยามเทวาธิราชประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง และเมื่อแกได้ไปรายงานตัวเป็น ส.ส.แล้ว แกก็จะรีบไปกราบท่านในทันที เพื่อขอพรคุ้มครองและช่วยให้แกแคล้วคลาดจากทุกอุปสรรคและโพยภัย
ในวันที่จ่าจินมารายงานตัว เจ้าหน้าที่พอทราบว่าแกอยากไปกราบพระสยามเทวาธิราช ก็บอกกับแกว่าทางรัฐสภาได้อัญเชิญองค์พระสยามเทวาธิราชจำลองมาไว้ที่หน้ารัฐสภา ด้านซ้ายของอาคารห้องประชุมใหญ่ แกก็ดีใจและรีบไปกราบในทันที พอเสร็จแล้วแกก็ถามว่าที่ในสภานี้มีศาลพระภูมิหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นไหม แกจะได้ไปกราบให้เรียบร้อยครบถ้วน เจ้าหน้าที่ก็พาไปที่ต้นงิ้วด้านรั้วทิศเหนือ ข้างหน้าอาคารรัฐสภา 2 เจ้าหน้าที่คนนั้นแนะนำแกว่า ต้นงิ้วต้นนี้อายุนับร้อยปี น่าจะอยู่ในเขตพระราชฐานที่ขอพระราชานุญาตมาก่อสร้างเป็นอาคารรัฐสภานี้นานแล้ว เมื่อตอนจะก่อสร้างก็มีวิศวกรที่คุมงานจะให้คนงานตัดทิ้ง แต่มีคนมาห้ามไว้ คนงานบางคนเล่าว่าคนที่มาห้ามนั้น เป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวดี เหมือนเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ พอไปถามว่ามีคนรูปร่างหน้าตาแบบนี้ทำงานอยู่ในสำนักงานรัฐสภาหรือไม่ ก็มีแต่คนบอกว่าไม่รู้จัก จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็น “เจ้าที่เจ้าทาง” ที่ปรากฏตัวออกมาห้าม คนงานจึงไม่กล้าตัดและปล่อยไว้ให้คงอยู่ที่ตรงนั้นตลอดมา (ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2560 ได้มีพายุฝนพัดกิ่งขนาดใหญ่ของต้นงิ้วขนาดสูงเท่ากับตึก 5 ชั้นต้นนี้ หักลงมาพาดทับรถยนต์ที่จอดอยู่เสียหายไป 4 คัน ปัจจุบันอาคารรัฐสภาได้ย้ายออกมาหมดแล้ว และบริเวณต่าง ๆ ในที่นั้นได้ถูกปรับปรุงและสร้างรั้วใหม่)
จ่าจินได้มาที่บ้านท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมในเย็นวันที่มารายงานตัวที่รัฐสภานั้นเอง แกบอกกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ว่า แกนับถือท่านเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งในกรุงเทพฯที่แกเคารพนับถือ นอกจากพระแก้วมรกต ศาลหลักเมือง และพระแม่ธรณีที่สนามหลวง ที่แกไปกราบมาเมื่อตอนบ่ายนั้นแล้ว แกก็นับถือท่านอาจารยคึกฤทธิ์นี่แหละว่าเป็นคนสำคัญที่น่าเคารพกราบไหว้และอยากจะกราบมานานแล้ว ตอนแรกแกก็จะรีบลากลับ แต่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็บอกให้ผมพาแกชมรอบ ๆ ตัวบ้าน แล้วขึ้นไปไหว้พระที่บนเรือนพระข้างบน ซึ่งอยู่ในบริเวณใต้พาไลด้านหน้าของหอกลาง หรือ “เรือนคุณย่า” ที่ท่านซื้อจากสำนักงานที่ทำการจังหวัดพระนคร (ชื่อเดิมของสำนักงานกรุงเทพมหานคร ตรงเสาชิงช้า) มาสร้างขึ้นที่ซอยสวนพลูนี้เป็นหลังแรก พอไหว้เสร็จผมก็พาแกไปดู “ประตูตกน้ำมัน” ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์และคนแถวนี้เคยเห็นว่ามีคุณย่าแต่งตัวแบบโบราณมาปรากฏตัวให้เห็น และบางครั้งก็จะมีน้ำมันซึมออกมา หลังสุดเมื่อตำรวจบุกพังบ้านท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในปี 2518 ก็ไหลเยิ้มออกมาอีก จนสุดท้ายมีคนแนะนำว่าให้เอาทองคำเปลวมาปิด จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีน้ำมันเยิ้มออกมาอีกเลย รวมทั้งคุณย่าก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกเลย พอผมบรรยายจบ จ่าจินก็ก้มลงกราบที่ธรณีประตู และพึมพำอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลงไปลาท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้มอบสายสร้อยลูกประคำ ทำจากไม้พยุงที่มีชาวบ้านมอบให้ท่าน แต่ท่านเห็นว่าน่าจะเหมาะกับจ่าจินมากกว่า ซึ่งสร้อยเส้นนี้จ่าจินได้คล้องคอไว้ตลอดเวลา ถ้าใครที่สนิทสนมกับแกแล้วขอดูพระเครื่องที่แกแขวนไว้เต็มคอ ก็จะเห็นว่ามีสร้อยลูกประคำสีดำมะเมื่อมคล้องอยู่ด้วยเสมอ
จ่าจินเช่าห้องแถวพักอยู่คนเดียวในซอยแถวถนนพรานนกที่มีคนรู้จักแนะนำมา และแกก็นั่งแท็กซี่มาไปไหนมาไหนทุกวัน จนได้ “ผูกปิ่นโต” คือเช่าเหมากันเป็นเดือนให้มารับส่งเป็นประจำ พอถึงวันศุกร์ตอนเย็นแกก็จะนั่งรถไฟกลับบ้านที่นครศรีธรรมราช จนเย็นวันจันทร์ก็จะนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ลงรถไฟแล้วก็มาประชุมพรรคที่มีการประชุมทุกบ่ายวันอังคารนั้นทันที แล้ววันพุธกับพฤหัสบดีก็จะเป็นวันประชุมสภา ส่วนวันศุกร์ก็มีการประชุมกรรมาธิการและอื่นๆ ซึ่งแกก็ไม่เคยขาดประชุม เว้นแต่ที่จะมีเจ็บไข้ได้ป่วยและทำธุระในต่างจังหวัดยังไม่เสร็จ แกบอกว่าไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนที่เลี้ยง “เสียข้าวสุก” หรือเบียดบังภาษีของประชาชน
บางครั้งความตั้งใจมั่นของบางคนก็อาจจะเป็น “ตัวตลก” ในสายตาของหลาย ๆ คนก็ได้