กรมส่งเสริมสหกรณ์ ขานรับนโยบายนายกฯแก้หนี้ ขรก.ในระบบสหกรณ์ เผยปัจจุบันแนะนำให้สหกรณ์กำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ ให้บวกได้ไม่เกิน ร้อยละ 3 ของต้นทุนเพี่อลดภาระสมาชิก วอนกรรมการสหกรณ์ลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อสมาชิก
วันที่ 6 ม.ค.65 นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงนโยบายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินราชการในภาคสหกรณ์ว่า กรมฯ พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้สินตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ผ่านเกณฑ์การกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ซึ่งปัจจุบันได้มีการกำหนดเพดานของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้เพื่อไม่ให้กระทบต่อสมาชิกและการทำธุรกรรมของสถาบันการเงินทั้ง 2 ประเภท ภายใต้การแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยึดวัตถุประสงค์ของขบวนการสหกรณ์ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในการทำธุรกรรมของสหกรณ์ปัจจุบันมีการพยายามสร้างรูปแบบจูงใจให้กู้เงินกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากร่างกฎกระทรวงเรื่องการบริหารจัดการและกำกับทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ...ที่รอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบออกมาแล้วสามารถออกประกาศมาบังคับใช้ได้ ก็จะเป็นประโยชน์ในการกำกับสหกรณ์ได้ดีขึ้นเพราะจะมีสาระสำคัญในเรื่องการกำกับการกู้ยืม การกู้ยืมซ้ำซ้อน และกำกับกิจกรรมทางการเงินที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นร่างที่ปรับปรุงโดยมีกรณีการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมาของสหกรณ์เป็นกรณีศึกษา
ปัจจุบันมาตรการที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ใช้กำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในเรื่องธุรกรรมทางการเงิน เพื่อไม่ให้ใช้การจูงใจทางการเงินและป้องกันการกู้เงินจนหนี้สินล้นพ้นตัวมีประเด็นสำคัญ คือการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ โดยกรณีอัตราดอกเบี้นเงินฝากกำหนดให้ไม่เกินร้อยละ 4 มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 ก.ค.64 เพื่อไม่ให้กระทบต่อสมาชิกสหกรณ์ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเพื่อการยังชีพ จากเดิมที่สหกรณ์จะให้สูงถึงร้อยละ 7 เพื่อระดมเงินฝากแต่โดยเฉลี่ยสหกรณ์จะให้สมาชิกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 กว่าๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามเร็วๆ นี้ กรมฯอาจจะออกประกาศฉบับใหม่กำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินฝากให้ไม่เกินร้อยละ 3.5 ซึ่งเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบขั้นบันไดที่มีการปรับลงมาจากที่อัตราร้อยละ 4.5 ลงมาที่ร้อยละ 4 และร้อยละ 3.5 ตามลำดับ อันจะเป็นการลดต้นทุนของแต่ละสหกรณ์ที่มีภาระผูกพันจากกการรับฝากเงินจากสหกรณ์อื่น ซึ่งรับฝากมาใช้เป็นทุนธุรกิจด้วยเช่นกัน สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนนั้น ได้แนะนำให้กำหนดเพดานไว้ว่าต้นทุนเท่าไหร่บวกได้ไม่เกินร้อยละ 3 เพื่อเป็นการลดภาระหนี้ของสมาชิก และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและมีธรรมาภิบาลและสอดคล้องกับเจตนารมย์ของระบบสหกรณ์ที่มุ่งช่วยสมาชิก ไม่แสวงหากำไรที่เกินควร
“จากการกำหนดเพดานของดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากนั้น ล้วนเป็นผลการพิจารณาเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระการครองชีพของทั้งสมาชิกและธุรกรรมของของสหกรณ์ ดังนั้นกรณีดอกเบี้ยเงินกู้ หากสหกรณ์ใดประสงค์จะช่วยเพื่อนสมาชิกบรรเทาความเดือดร้อน ก็สามารถที่จะมีมาตรการปรับลดหนี้ให้ลดลงมาอีกได้ หรือออกชุดพัฒนาอาชีพสร้างรายได้เพิ่มให้ครัวเรือนให้สมาชิก ตามที่กรรมการแต่ละแห่งเห็นสมควรเพราะเป็นนิติบุคคล ซึ่งกว่าจะได้ข้อยุติเรื่องเพดานดอกเบี้ยต้องใช้เวลาในการเจรจาร่วมกันกว่า 3 ปี ผ่านการประท้วง การร้องเรียน การหารือของทุกฝ่ายนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนกรณีรายได้ของสมาชิกหลังหักหนี้ต้องเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 นั้น เป็นประเด็นที่กรมได้หารือกับทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าจำนวนดังกล่าวเพียงพอต่อการดำรงชีพ และไม่ควรหักลดน้อยลงไปต่ำกว่านี้ อันนี้เป็นสาระสำคัญที่บรรจุอยู่ในร่างกฎกระทรวงที่รอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอร่างที่กฤษฎีกาตรวจสอบแล้วเสนอครม.เห็นชอบเพื่อนำออกมาประกาศใช้ อย่างไรก็ตามผมเสนอว่าเพื่อเป็นการช่วยเหลือเร่งด่วนระหว่างรอกฎกระทรวงฉบับนี้ รัฐบาลควรมีกฎหรือระเบียบ ให้กระทรวงการคลังสั่งให้กรมบัญชีกลางกำหนดให้ส่วนราชการหักเงินเดือนข้าราชการที่มีภาระหนี้ผูกพันไว้ ต้องให้เหลือติดบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เพื่อให้สามารถดำรงชีพได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะมีอานิสงส์ดูแลเรื่องรายได้ส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายของข้าราชการทุกภาคส่วน”นายวิศิษฐ์ กล่าว
สำหรับร่างกฎกระทรวงเรื่องการบริหารจัดการและกำกับทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ... ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง หลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเสร็จ ซึ่งหากครม.เห็นชอบ กระทรวงจะประกาศเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป สาระสำคัญในร่างนั้น อาทิเช่น เรื่องการกำกับเรื่องการให้เงินกู้การให้สินเชื่อ ที่กำหนดว่าสหกรณ์จะให้กู้ในวัตถุประสงค์ใดได้บ้าง รวมถึงการจะอนุมัติเงินกู้ประเภทเดียวกันก้อนใหม่จะต้องไม่ส่งผลให้สมาชิกมีหนี้เพิ่มพูนขึ้นจนเกินศักยภาพการชำระหนี้การห้ามมิให้นำเงินประกันชีวิต เงินฌาปนกิจสงเคราะห์หรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกันมาพิจารณาเป็นหลักประกัน ซึ่งกรณีนี้พบว่าสหกรณ์หลายแห่งนำเงินอนาคตก้อนนี้มาตีเป็นสินทรัพย์ด้วยเพื่อเพิ่มวงเงินกู้ นอกจากนั้นยังระบุถึงคุณสมบัติผู้กู้ที่สหกรณ์ผู้ให้กู้ต้องพิจารณาในเรื่องอายุงานที่คาดว่าจะมีรายได้มาประกอบพิจารณาด้วย
นอกจากนั้น ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงเรื่องการรับฝากเงิน การก่อหนี้ การสร้างภาระผูกพัน และการค้ำประกัน ที่จะมีผลให้มีการกำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินรับฝากทุกประเภทต้องไม่เกินเพดานดอกเบี้ยนโยบาย ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินธปท.กำหนดบวกสาม รวมถึงมิให้สหกรณ์เสนอขายหลักทรัพย์หรือประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การกำหนดเรื่องการก่อหนี้สหกรณ์ที่ผูกพันได้ไม่เกินหนึ่งเท่าครึ่งของทุนเรือนหุ้นและทุนสำรองรวมกัน เป็นต้น