“7 วันอันตราย”วันที่หก เซ่นปีใหม่ตาย 300 ศพ เกิดอุบัติเหตุ 2,488 ครั้ง บาดเจ็บ 2,471 คน “กรุงเทพฯ”คว้าแชมป์ตาย 20 ราย “เชียงใหม่”เกิดอุบัติเหตุสูงสุด “ศาล”สั่งคุมประพฤติคดีเมาขับ ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เมื่อวันที่ 4 ม.ค.65 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี (ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) แถลงว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2565 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 3 ม.ค.65 ซึ่งเป็นวันที่หก ของการรณรงค์ "ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ" พบเกิดอุบัติเหตุ 264 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 34 ราย มีผู้บาดเจ็บ 274 รายโดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ขับรถเร็ว ร้อยละ 35.61 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 18.94 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 83.03 รองลงมา คือ รถปิกอัพ/กระบะ ร้อยละ 6.64 อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 79.55 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 40.91 ถนนใน อบต./หมู่บ้านร้อยละ 36.74 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ช่วงเวลา 16.01-17.00 น. ร้อยละ 9.09 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 40-59 ปี ร้อยละ 15.58 ทั้งนี้ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,905 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 61,730 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 437,936 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 91,546 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 26,248 ราย ไม่มีใบขับขี่ 23,253 ราย นายนิรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ กาญจนบุรี (15 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ กรุงเทพฯ และจันทบุรี (จังหวัดละ 3 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด คือ กาญจนบุรี (16 คน) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 52 จังหวัด สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 6 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.64-3 ม.ค.65) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,488 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 300 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 2,471 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือ เชียงใหม่ (92 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ (20 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (91 คน) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 6 วันของการรณรงค์มี 11 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นครนายก ปัตตานี พังงา แพร่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง สตูล สมุทรสงคราม และสุโขทัย ด้าน นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ศาลได้สั่งคุมความประพฤติ 332 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถในขณะเมาสุรา 317 คดี คิดเป็นร้อยละ 95.48 และคดีขับเสพ 15 คดี คิดเป็นร้อยละ 4.52 โดยช่วง 7 วันอันตรายปี 2565 มียอดคดีสะสมทั้งสิ้น 5,767 คดี จำแนกเป็น ขับรถในขณะเมาสุรา 5,200 คดี คิดเป็นร้อยละ 90.17 ติด EM 10 ราย ขับรถประมาท 11 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.19 ติด EM 1 ราย ขับเสพจำนวน 556 คดี คิดเป็นร้อยละ 9.64 ส่วนจังหวัดที่มีสถิติคดีเมาแล้วขับสะสมสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ ชัยภูมิ 403 คดี บุรีรัมย์ 350 คดี และสกลนคร 278 คดี “เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ สะสม 6 วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 64 และ65 พบว่าคดีขับรถขณะเมาสุรา ปี พ.ศ.2564 มีจำนวน 2,399 คดี กับปี พ.ศ.2565 มีจำนวน 5,200 คดี เพิ่มขึ้น 2,801 คดี คิดเป็นร้อยละ 53.8 หากเปรียบเทียบสถิติคดีรายวัน (3 ม.ค.) ที่เข้าสู่การคุมประพฤติช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 65 มีจำนวน 332 คดี เทียบกับปีที่แล้ว จำนวน 326 คดี พบว่าเพิ่มขึ้น 6 คดี คิดเป็นร้อยละ 1.8” นายวิตถวัลย์ กล่าวว่า กรมคุมประพฤติเตรียมใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการแก้ไขฟื้นฟูแบบเข้มข้น โดยมาตรการทางกฎหมายจะประเมินและคัดกรองผู้กระทำผิด และกำหนดมาตรการตามระดับปัญหา โดยการคุมประพฤติให้ผู้กระทำผิดปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ได้แก่ ให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ (กำหนด 3 เดือนต่อครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี) ให้ทำงานบริการสังคมซึ่งเป็นการทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทนอาจให้ผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม พักใช้ใบอนุญาตขับรถ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ให้เข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย/วินัยจราจร ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และให้ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด “มาตรการแก้ไขฟื้นฟู จะคัดกรองและประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพบว่ามีแนวโน้มการติดสุราสูงจะส่งไปบำบัดการติดสุราที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นระยะเวลา 4 เดือน หากพบว่ามีแนวโน้มกระทำผิดซ้ำสูงจะส่งไปแก้ไขฟื้นฟูแบบเข้มข้นในรูปแบบค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ระยะเวลา 3 วัน โดยใช้กระบวนการกลุ่มร่วมกับการทำงานบริการสังคมที่สร้างจิตสำนึกและความตระหนักถึงผลกระทบของการขับรถในขณะเมาสุรา เช่น การดูงานห้องดับจิตและตึกอุบัติเหตุ การดูแลเหยื่ออุบัติเหตุ ผู้พิการ เป็นต้น”