บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น) การกระจายอำนาจล้มเหลวเพราะดอง ชี้นำ รวบอำนาจ วันสิ้นปีใหม่มักมีสองคำขอให้ทบทวนรีวิวปรากฏการณ์ ผลงานที่เกิดขึ้นในรอบปีที่จะผ่านไป อย่างที่สองที่คาดเดายากคือ ให้วิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ เรื่องเด่นต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในมิติของท้องถิ่นปี 2565 ท่ามกลางวิกฤตต่างๆ การคาดเดาสถานการณ์อนาคตเป็นสิ่งท้าทายที่มุมมองต่างคนก็ต่างใจไม่เหมือนกัน ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา มีสารพัดเรื่องอยากพูดถึง ขอร่ายยาวมาเริ่มที่ประเด็นการเมืองว่า “ปี 2565 เป็นปีแห่งการเลือกตั้ง” เพราะจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น และอาจมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่ (บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส.ส.เขตเพิ่มขึ้นจาก 350 ที่นั่ง เป็น 400 ที่นั่ง) หรือจากการยุบสภา แม้จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นมาแต่ปลายปี 2563 แต่ก็ยังเลือกตั้งไม่หมด เพราะยังเหลือกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา ตามรูปธรรมที่เห็นถือเป็น “ความล้มเหลวของการกระจายอำนาจ” เพราะ การปฏิรูปกฎหมายหลักท้องถิ่น 4 ฉบับไม่คืบหน้า คือ กฎหมายกระจายอำนาจ(กฎหมายว่าด้วยหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ) กฎหมายรายได้(กฎหมายว่าด้วยรายได้ รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาการหารายได้) ประมวลกฎหมาย อปท.(กฎหมายว่าด้วยวิธีการและรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือกฎหมายจัดตั้ง อปท.) และกฎหมายข้าราชการส่วนท้องถิ่น(กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล) ตามมาตรฐานที่บัญญัติไว้แต่เดิมในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 303(5) ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามแผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน มิได้มีบทบัญญัติเฉพาะเร่งรัดของ อปท.ไว้ เพราะการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นไปรวมอยู่ในหัวข้อการปฏิรูปด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ตอกย้ำด้วยปัญหานโยบายการถ่ายโอน รพ.สต. ให้แก่ อปท. ที่ดองไว้นาน นโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง โคกหนองนา โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โครงการโอทอปต่างๆ ที่หลายแห่งไม่สอดคล้องกับบริบท เพราะมาตรฐานที่ถูกกำหนดแบบพิมพ์เดียวกันมาจากส่วนกลาง (One size fits all) ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชน (People Participation) ฉะนั้น หลายโครงการไม่ก้าวหน้า จนถึงขนาดร้างไป รวมทั้งโครงการนโยบายของรัฐ เช่น โครงการบ่อขยะรวม โครงการบำบัดน้ำเสีย ก็ยังยุ่งยากในทางปฏิบัติ เพราะประชาชนขาดความผูกพันต่อองค์กร (Organizational Commitment) นอกจากนี้ โครงการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจแบบขอตรงจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายใหม่ที่ใช้ทุก อปท.ตั้งแต่ปี 2564-2566 นี้ แต่ส่วนกลางยังมีอำนาจบารมีชี้นิ้ว ชี้นำ และอ้างแผนพัฒนา One Plan โดยยึดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของจังหวัด เพราะมีการแก้ไขตราระเบียบ มท.ว่าด้วยการจัดทำแผนและประสานแผนพัฒนาพื้นที่ในระดับอำเภอและตำบล พ.ศ.2562 ปัญหาทางปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้าง การพัฒนารายได้ท้องถิ่น ตามหนังสือที่ กค(กวจ) 0405.2/ว 845 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ให้ยกเลิก ว 89 (MIT & SME) ใช้ ว 845 แทน ที่อนุมัติยกเว้นและกำหนดแนวทางการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ได้สร้างบรรทัดฐานความรู้สึกที่ย้อนแย้งกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตของท้องถิ่น ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทราบแต่มิอาจปฏิเสธการปฏิบัติได้ เพราะอาจมีการปฏิบัติ เลือกปฏิบัติ ที่มีส่วนได้เสียที่เป็นเหตุแห่งการทุจริตไม่หมดไป เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 หรือ ภดส. ยิ่งทำยิ่งดูยิ่งขุดยิ่งลึกในการบริหารจัดการ ที่ล่าช้าแถมรัฐมีการลดยกเว้นภาษีถึง 90% มันผูกโยงกับกฎหมายภาษีมรดก 2558 และ การจัดทำแผนที่และทะเบียนทรัพย์สินของ อปท.ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ท้องถิ่นมาก แม้ว่าในการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ครม.ยังไม่ทราบ กระทรวงการคลังยังไม่มีนโยบายว่าจะลดภาษีที่ดินฯ ลงอีกในปี 2565 ที่กดดันเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาก เพราะอีกไม่กี่วันก็จะขึ้นรอบการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น ภดส.ใหม่แล้ว วิกฤตการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาสองปีเศรษฐกิจบอบช้ำ ผนวกกับวิกฤติการระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมาในรอบ 2 ปีสร้างความบอบช้ำทางเศรษฐกิจไทยและท้องถิ่นมาก แถมถูกซ้ำเติมจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) หนึ่งในสายพันธุ์ใหม่ระดับที่น่ากังวล (Variants of Concern: VOCs) ที่รุนแรงกว่าเดิม หลายจังหวัดประสบปัญหาเกิดคลัสเตอร์เป็นสีแดง เพราะคนเดินทางข้ามจังหวัดเสรี บางจังหวัดเจอ Omicron รายแรก ก็ยังไม่กล้าออกข่าวกลัวกระทบการท่องเที่ยว การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกได้รับผลกระทบหมด ไทยเริ่มเปิดประเทศตามนโยบายมาตรการท่องเที่ยวแซ็นด์บ็อกซ์ (Sand Box) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 63 ประเทศที่ภูเก็ต โดยไม่ต้องกักกันตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นโยบายมาตรการท่องเที่ยวบับเบิลในระหว่างพื้นที่ หรือมาตรการทำงานของคนงานในโรงงานซีลและบับเบิล (Seal & Bubble) แม้จะรวบอำนาจขึ้นตรงกับ ศบค. หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 แต่ก็แล้วแต่อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ของแต่ละจังหวัดที่แตกต่างกันไป ส่งผลกระทบความไม่เท่าเทียมกันต่อท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ที่แต่ละท้องที่มีบริบทที่แตกต่างกัน ถือเป็นอุปสรรคต่อนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวที่กระทบต่อท้องถิ่นมาก เพราะไม่สามารถทำนโยบายโควิดซีโร่ได้ และโควิดจะยังอยู่ยาวกลายเป็น “New Normal & Now Normal” ไปอีกนาน หลังปีใหม่รัฐจะขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมโควิด และส่งเสริมให้ทั้งภาครัฐและเอกชนทำงานที่บ้าน (Work From Home : WFH) มากขึ้น การใช้งบแก้ไขปัญหาโควิดมากมาย อาจเรียกว่าควบคุมได้ในระดับหนึ่งที่ดีกว่าในหลายประเทศ เพราะความได้เปรียบของระบบการสาธารณสุขไทยที่เข้มแข็ง หาใช่มาจากการบริหารของรัฐโดยตรงไม่ แอพฯไทยชนะยังไม่ตอบโจทย์ การกรอกข้อมูลส่วนตัวมากไป ชาวบ้านเสียเปรียบเพราะอาจสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคลไปแก่มิจฉาชีพ เนื่องจาก ศบค.ไม่ห้ามการจัดงานเลี้ยง จึงให้ประชาชนเข้าประเมินตนเองที่แอปฯ "Thai Save Thai" ก่อนไปร่วมงาน ล่าสุดด้วยความล่าช้าดึงดองดึงดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในหลายๆ อย่างไว้ นี่ยังไม่รวมการกู้เงินของรัฐบาล 1.9 ล้านล้าน เปิดโอกาสให้ทุนจีนครอบงำเศรษฐกิจมาหลายปี นายทุนจีนยึดล้งผัก ล้งผลไม้ สินค้าต่างๆ แม้แต่การอุดมศึกษา ร้านค้า คอนโดฯ รวมโครงการพัฒนาภาคตะวันออก ตอนนี้สินค้าผักจีนทะลักมาทางรถไฟความเร็วสูงจากจีนผ่านลาว วันละ 93-94 ตัน เข้าตีตลาดไทย กระทบแหล่งปลูกผักตามเขตพื้นที่ชลประทาน และภาคกลาง โดยเฉพาะที่ “ตลาดไท” ศูนย์รวมสินค้า นอกจากนี้สังเกตว่าทุนจีน รวมร้านสะดวกซื้อ แต่อ้างแบรนด์ไทย ขยายฐานไปเวียตนาม ลาว เขมร เรียกว่าทำธุรกิจหลายประเภท (ทุกประเภท) เคาน์เตอร์เซอร์วิส ธนาคาร โกยเงินคนไทย กรรมกรแรงงานไทย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม สบายๆ ด้านโลกข่าวสารโซเชียลก็มาไม่มีเว้น Metaverse หรือ “อินเตอร์เน็ตเวอร์ชันเสมือนจริง” ของแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก (FB) ที่ขายกิจการและเปลี่ยนชื่อใหม่ ยังไม่ทราบว่าจะกระทบกับไทยเพียงใด เพราะต่อไปไทยอาจถูกแพลตฟอร์มของจีนเข้ามายึดครองโซเซียลไทยก็ได้ ศาสตร์พระราชาสร้างสมดุล แก้พฤติกรรม “ซ่อนเร้นแบบจริต” ที่ทำสังคมไทยป่วน สังคมไทยไม่สงบ เพราะผู้ใช้บทบาทของสังคมคนมีอำนาจหน้าที่ส่วนกลางซ่อนเร้น คืออะไร พฤติกรรมซ่อนเร้น คือการไม่ตรงไปตรงมา มีพฤติกรรมลึกลับ ที่เก็บซ่อนความรู้สึกแท้จริงไว้ในใจ จึงแสดงพฤติกรรมอย่างอื่นกลบเกลื่อน ลืมหลักครองตนแบบกลางๆ สายกลางแบบพระพุทธเจ้า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตาม “ศาสตร์พระราชา” (Sufficiency Economy) คือ “ทุกเรื่องสงบ เสมอภาค ไว้วางใจกัน” แต่กลับมีการเอาชนะคะคานกันแบบตรงๆ ระบบราชการมีการซื้อขายตำแหน่งแบบตรงๆ หรือ “การติดสินบนแบบจริต” แกล้งเพื่อหวังผลอื่น เล่นไพ่แกล้งตีโง่เอาใจ การยกยอปอปั้น(ชะเลีย) การประจบสอพลอ เหล่านี้ คือการใช้จริต ในหลวงรัชกาลที่ 9 ดำรัสว่า ทหารต้องกล้าหาญ แต่อย่าบ้าบิ่น ต้องรอบคอบเกิดสมดุล คือหลักพอประมาณ เศรษฐกิจพอเพียง แต่กลับสร้างทุกเรื่องแทนพลเรือน จนหน่วยงานล้น ตั้งกองกำลัง ลืมหน้าที่หลักของตัวเอง หลักบริหารบ้านเมืองและการเมืองต้องมี “จุดสมดุล” อยู่ที่การรักษาประโยชน์ให้แก่คนส่วนใหญ่ แก่ส่วนรวม “อำนาจไม่เที่ยงแท้แน่นอน หน้าที่ต้องส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว” การตรวจสอบเรื่องใดมีผลประโยชน์อะไรกันแน่ ตรวจสอบเพื่อประโยชน์สาธารณะเพื่อประชาชน หรือเพื่อสนองประโยชน์ส่วนตน ไม่ใช่ชนะแล้ว มีการตรวจสอบแบบเอาเป็นเอาตาย ความพอดีไม่มี เลยเถิด รุกเอาให้ตาย ตรวจสอบเพราะความแก้แค้นเอาคืน ต้องมีธรรมะในใจ ต้องมีความเสมอภาคทางสังคม ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ต้องมี “ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน” (Trust) ที่ความหมายตรงข้ามกับ “การชิงไหว ชิงพริบ” งบประมาณท้องถิ่นหลายอย่างตอแหลมา หลอกเอางบมาลงไม่ชอบ ตบแต่งข้อมูลที่มีน้อยเพียงเม็ดถั่วเขียว ชาวบ้านจะไม่ยึดติดเรื่องอื่น ใครเสนอประโยชน์ให้ได้ก็จะเลือกคนนั้น เขาไม่ได้คิดว่าคนที่ให้เขาไปเอาเงินมาจากไหน อาจมาจากการทุจริตก็เอาหมด เพราะชาวบ้านไม่เชื่อว่ามีใครรักษาประโยชน์ให้ ชาวบ้านไม่รู้ว่าใครดีที่สุด แม้คนโกงมาแต่ชาวบ้านได้ประโยชน์เขาก็เอา สถานการณ์โควิดรุนแรง แต่มีข้อสงสัยว่าเป็นเกมของมหาอำนาจในสงครามเชื้อโรคหรือไม่ เพื่อขายวัคซีน เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งสิ้น เหมือนการขายอาวุธสงครามของมหาอำนาจทั่วไป เหตุใดรัฐบาลไทยไม่ซื้ออาวุธจากบริษัทไทย ก็เพราะอาจไม่ได้ประโยชน์ จึงซื้อจากต่างประเทศดีกว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ระหว่างประเทศ ขายปืนให้เขมร เพราะแลกกับการตัดไม้ ขายปืนให้ชนกลุ่มน้อยพม่า เพื่อแลกหยก ยาเสพติด คิดแบบนี้คงไม่มีใครว่าหัวโบราณ เคยคิดบ้างไหมว่า มนุษย์เรามักทำเกินพอดี ละเมิดกฎธรรมชาติมานาน สร้างอาวุธทำลายล้างธรรมชาติ รุกถางป่าที่อยู่ของสัตว์ป่า ล่าสัตว์ป่า จนพืชสัตว์สูญพันธุ์ ไม่ได้ทำเพื่ออยู่ แต่ทำเอาจนธรรมชาติสูญพันธุ์ มองมุมกลับหากมนุษย์อยู่อย่างพอเพียง เรียนรู้ธรรมชาติ มนุษย์ก็ไม่ต้องไปทำลายพืชสัตว์สิ่งแวดล้อมดังเช่นทุกวันนี้ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ พอกิน พออยู่ พอแลกเปลี่ยน กันกิน กันใช้ ทำเกษตร พออยู่พอกิน ไม่ต้อง ทำมากจนล้น ก็จะไม่ไปทำลายธรรมชาติ ใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ย ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ใช้สมุนไพรเป็นยา ไม่ต้องใช้สารเคมีทำยา ก็ไม่เกิดโรคมะเร็ง มีสมุนไพรอย่างเพียงพอ ป่าก็ไม่ถูกทำลาย ปลูกพืชพออยู่พอกิน แถมพืชในป่าก็เป็นอาหาร ที่อยู่ได้ทั้งคนและสัตว์ แต่ ณ เวลานี้มนุษย์ได้บริโภคธรรมชาติจนล้นเกินไปแล้ว การใช้เครื่องจักรกล ทำลายป่า ทำการเกษตร แต่ต้องพึ่งน้ำมันที่ต้องขุดเจาะ ต้องพึ่งน้ำก็ต้องสร้างเขื่อน ต้องสร้างถนน ท่าเรือ สนามบิน ล้วนทำลายธรรมชาติ ให้ย่อยยับ ต้องทำเครื่องสูบน้ำ เพื่อเอาน้ำมาทำการเกษตร อาจเป็นแผนชั่วร้ายของใครบางคนในชาติที่ยุยงให้แย่งอำนาจกัน เพื่อจะได้ขายอาวุธ ให้เขาทำร้ายกัน แล้วคนชาติอื่นก็เข้าไปจัดการทรัพยากรธรรมชาติในชาติ ประเทศมหาอำนาจที่เหนือกว่าย่อมมีแต่ได้กับได้ ได้ขายอาวุธ ได้ครอบครองเศรษฐกิจ บ่อน้ำมัน แร่ธาตุสำคัญ ตามที่ตนต้องการ การได้ทำธุรกิจ ลงทุน ครอบครอง พื้นแผ่นดิน หากินยาวๆ แบบการรับสัมปทาน การค้า การลงทุน การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากกิจกรรมการดำเนินชีวิตของคนในชาติ ที่ถูกครอบครองด้วยเหตุอ้างว่า “ด้อยพัฒนา ต้องพึ่งพา” (Dependency) ใครคงไม่คิดว่าการปล่อยเชื้อโรคระบาดโควิด 19 เพื่อหวังทำวัคซีนขาย กอบโกยร่ำรวยบนความทุกข์ของมวลมนุษยชาติ มองมุมกลับเหตุใดประเทศเพื่อนบ้าน ลาว เขมร พม่า ได้วัคซีนฟรีไม่ต้องซื้อ มีการบริจาควัคซีนให้ด้วยมองเห็นสิ่งที่จะได้มากกว่าขายวัคซีน เช่น ได้ลงทุน ได้กอบโกย ได้ทรัพยากรในดิน ในน้ำ ในภูเขา ได้ครอบครองใจ (บุญคุณ) ของคนชาตินั้น เพื่อเขาจะได้อยู่ยาว ในฐานะที่เป็นพ่อพระแม่พระ แต่สำหรับ คนเวียดนามตื่นรู้จึงถูกเมินจากทุนใหญ่ จึงเหลือแต่ประเทศทุนรองที่เข้าไปลงทุน สำหรับไทยถูกทุนใหญ่ดูดเอาทรัพยากรป่าไม้ ดีบุก น้ำมัน แร่ธาตุ ต่างๆ เอาไปไม่น้อย แถมขายสัมปทานสำคัญๆ เช่น สนามบิน ท่าเรือ (เอกชน) ทางด่วน ให้ทุนต่างชาติอยู่กันยาว แถมเป็นศูนย์กลาง ทางผ่านไปประเทศเพื่อนบ้านให้ด้วย ใครคบนายทุนเหล่านี้ ก็รวยไปด้วย แต่หากใครอยู่แบบพอเพียง ก็ถูกรุกราน ดังเช่นคนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ชาวมอแกน ไม่เถียงว่าไทยก็ต้องพัฒนาไปตามกระแสโลกที่เจริญแล้ว ดังตัวอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลอื่นพาทำ เพื่อความอยู่รอดของคนทั้งชาติ ไม่ถูกกลืนไปแบบเพื่อนบ้านหลายชาติ คนตรงข้ามมองว่า หากไทยเป็นเมืองขึ้นตะวันตกป่านนี้ประเทศไทยเจริญแบบสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่มันเจริญขึ้น แต่ถ้ามองลงไปให้ลึกซึ้ง คนในชาติเหล่านี้ตรงข้ามกับคนไทย ล้วนเป็นโรคเครียด มีสถิติฆ่าตัวตายสูง ที่ชอบทำอะไรแผลงๆ และหันกลับไปอยู่อย่างโหยหาธรรมชาติ อยากอยู่อย่างพอเพียง ดังนั้น ไทยยังไม่สาย แม้ไม่สามารถย้อนกลับไปหาอดีตได้ แต่การหันมามองปัจจุบันและอนาคต ว่าจะสร้างความสมดุลตามหลักพอเพียงและพัฒนา เพื่อป้องกันการรุกรานจากทางทหาร ทางการเมือง จากภายนอกได้อย่างไร และที่สำคัญ การรุกภายใน สินบน ความเชื่อ ศาสนา ทุนผูกขาด คอนเนกชั่น คนครองอำนาจ สัญญาผูกขาด การรุกล้ำสิทธิความเป็นอยู่ของพลเมืองไทย ก็ต้องมีการเรียนรู้เท่าทัน คนชั้นนำที่ถือครองอำนาจอยู่ ก็ไม่ควร โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ เอากับคนใต้การปกครอง จนคนในชาติปั่นป่วน หมดอนาคต หมดหวัง หมดสุข สร้างภาระ การดำเนินชีวิตดิ้นรน ต้องหากินหาใช้ คนเกิดความเครียด แบบประเทศที่กล่าวถึงคือ “ไทยแลนด์แดนคนยิ้ม” ก็จะได้หลงเหลือไว้เป็นมรดกโลกสืบต่อไปได้ คนยิ้ม คือกระจกที่สะท้อนออกมาให้เห็น ภายใน ที่ไม่ใช่รอยยิ้มแห้งๆ ยิ้มอย่างยอมแพ้ ยิ้มอย่างเคารพ นบนอบ ยอมสิโรราบ หรือยิ้มอย่างเย้ยหยัน ปีใหม่ 2565 ท้องถิ่น อปท.แม้ไม่ชัดเจนว่ามีสิ่งใดที่ถอยหลังบ้าง แต่เชื่อว่า พฤติกรรมการบริหารของผู้กำกับดูแลท้องถิ่นยังตั้งป้อมขอความร่วมมือสารพัดจาก อปท.เช่นเดิม ยังไม่ได้ช่วยเหลือเชิงการบริหารแก่ อปท. มีแต่ขอความร่วมมือ เป็นภาระ หน้าที่การขายสลากกาชาด บัตรการกุศล ขอรับการสนับสนุนที่เป็นภาระงบประมาณทั้งสิ้น การเสนอหน้า (ออกอีเว้นต์)รับหน้าหน่วยเหนือ ยังเป็นหน้าที่ปกติที่มิใช่หน้าที่ผู้กำกับฯ แฝงด้วยการมาล้วงแสวงประโยชน์ ถือเป็นจุดบอดสำคัญในการ “ยื้อยุทธการกระจายอำนาจ และการบอนไซท้องถิ่น” ด้วยอำนาจนิยมและการรวบอำนาจ ยกตัวอย่างการเสนอหนังสือให้นายอำเภอเรียกประชุมสภาครั้งแรกของท้องถิ่นที่เป็นหน้าที่โดยตรงของท้องถิ่นอำเภอ แต่ อปท.บางแห่งต้องเสนอเรื่องเองประสานเอง