ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมจะมีคุณค่า ถ้าผู้คนรู้ประโยชน์ที่ได้ทำร่วมกัน จ่าสมจินต์เป็นผู้แทนราษฎรที่ดูลึกลับ บางคนว่าแก “เล่นของ” หรือคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์นานาชนิด แต่สำหรับผมที่ได้รู้จักกับแกอยู่หลายปี กลับมีความรู้สึกว่าแกเป็นคนที่น่าคบ เป็นคนที่เปิดกว้างและเปิดเผย คือคบง่ายและคุยได้ทุก ๆ เรื่อง ถ้าเป็นเรื่องที่แกสนใจหรือมีความรู้ ยุคนั้นเป็นยุคที่พรรคกิจสังคมกำลังเฟื่องฟู หลังการเลือกตั้งในปี 2519 ได้ ส.ส.มา 45 คน พอเลือกอีกทีในปี 2522 ก็ได้มาเป็น 81 คน พอถึงปี 2526 ก็เพิ่มเป็น 101 คน จ่าสมจินต์หรือที่ใครต่อใครเรียกชื่อแกสั้น ๆ ว่า “จ่าจิน” ก็ได้เป็น ส.ส.เข้ามาทั้งสามครั้ง เพิ่งจะมาพลาดในตอนปี 2531 ที่จำนวน ส.ส.ของพรรคกิจสังคมก็ลดลงมาเหลือ 49 คน และแกก็ไม่ได้เป็น ส.ส.อีกนับจากนั้น หนึ่งก็คือปัญหาเรื่องสุขภาพของคนอายุ 70 กว่า และสองก็คือการซื้อเสียงที่หนักมือขึ้น จนแกสู้ไม่ไหว เพราะแกไม่เคยใช้เงินซื้อเสียงแม้แต่ครั้งเดียว ตอนที่แกลงเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2519 แกเพิ่งจะเกษียณจากราชการได้ไม่นาน ตอนที่แกรับราชการอยู่ก็ไม่ได้มีวีรกรรมที่หวือหวาอะไร พอที่จะเอามาหาเสียงหรือสร้างความสนใจอะไรได้ แต่ด้วยรูปร่างอ้วน ๆ เตี้ย ๆ ตัน ๆ และดำ ๆ ของแก ทำให้ออกจะดูแปลก ๆ ไม่ได้สะโอดสะองเหมือนตำรวจขี้เก๊กทั่ว ๆ ไป ทั้งยังเคี้ยวหมากจั้บ ๆ จนปากดำมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ ผมของแกก็ตัดเสียจนเกรียนรอบหัว เหลือไว้ปิดกระหม่อมเพียงกระจุกเล็ก ๆ มองผาด ๆ เหมือนเด็กที่ไว้จุกแบบในสมัยโบราณ มองรวม ๆ แล้วก็ออกจะดูตลก และด้วยพุงที่ป่องออกมาจนล้นเอว ทำให้มองดูเหมือนตลกในหนังตะลุงที่นิยมกันแถวเขตเลือกตั้งของแก ดังที่ชาวบ้านเรียกแกว่า “จ่าหนูนุ้ย” ใน พ.ศ. 2527 ผมกำลังเรียนปริญญาโท ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับที่ทำงานเป็นเลขานุการของหัวหน้าพรรคกิจสังคม คือ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อยู่ด้วย ซึ่งผมทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “การต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองไทย : ศึกษากรณีพรรคกิจสังคม” จึงต้องไปสัมภาษณ์ ส.ส.ของพรรคนี้หลายคน ในจำนวนนั้นก็มีจ่าจินอยู่ด้วย โดยผมเรียกแกตามแบบของผมว่า “พี่จ่า” เมื่อถามถึงแรงจูงใจที่ชักนำให้แกเข้ามาลงเลือกตั้งเป็นผู้สมัครในนามพรรคกิจสังคม แกก็ตอบเหมือน ส.ส.หลาย ๆ คนว่า เป็นเพราะเคารพศรัทธาในตัวและชื่อเสียงของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่หลาย ๆ คนรวมทั้งจ่าจินด้วยนี้เรียกว่า “ท่านอาจารย์หม่อม” แต่ใน พ.ศ. 2518 ก็มีคุณบรม ตันเถียร กรรมการบริหารของพรรค ที่ดูแลการหาตัวผู้สมัครทางภาตใต้ก็เคยมาทาบทามแกให้ลงสมัคร แต่แกยังเหลืออายุราชการอีกหลายเดือน จึงไม่ได้ลงสมัครในปีนั้น แต่พอแกเกษียณในเดือนกันยายนปีนั้น และมีเลือกตั้งครั้งต่อมาในวันที 4 เมษายน 2519 แกก็รีบตอบตกลงในทันที และก็ได้เป็น ส.ส.สมใจ ผมถามแกว่า แล้วความสนใจส่วนตัวที่มาเล่นการเมืองล่ะคืออะไร แกคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า ก็ชาวบ้านเขาเชียร์แกให้ลง ด้วยเห็นว่าเป็นตำรวจที่ไม่เหมือนตำรวจทั้งหลาย คือในจังหวัดที่แกอยู่ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่สีแดง มีคนเข้าไปร่วมด้วยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จำนวนมาก สาเหตุหนึ่งก็คือในพื้นที่เต็มไปด้วยข้าราชการที่ชอบกดขี่ข่มเหงประชาชน ทำให้ประชาชนเกลียดและโกรธแค้นข้าราชการมาก ๆ โดยเฉพาะตำรวจที่มีจำนวนมากชอบขูดรีดเรียกเอาเงินทองจากประชาชน ทั้งยังใช้อำนาจกลั่นแกล้งรังแก วางก้าม วางอำนาจ อวดเบ่ง มีแต่แกนั่นแหละที่ไม่เป็นแบบตำรวจพวกนั้น แกก็เห็นว่าดีกว่าอยู่เปล่า ๆ หลังเกษียณ และเผื่อว่าจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง อย่างที่แกเคยรู้มาบ้างว่า ส.ส.เป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติ และได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนในระดับชาติ โดยที่แกก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เป็น ส.ส.ง่าย ๆ ถึงขนาดนั้น พอยุบสภาฯในวันที่ 12 มกราคม 2519 และประกาศให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน 2519 ชาวบ้านก็มาบอกแกว่าจะลงสมัครไหม แกก็สอบถามไปยังคุณบรม ตันเถียร ก็รับรองว่ายังไม่มีผู้สมัครในเขตนั้น ถ้าแกจะลงก็จะดีมาก แกก็ถามถึงวิธีสมัคร คุณบรมก็ถามว่ามีใครรู้จักที่อำเภอไหม ให้เขาช่วยก็ได้ พอดีกับที่แกสนิทกับปลัดอาวุโสที่อำเภอก็เลยไปให้เขาช่วย และก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี พอสมัครเสร็จก็เดินไปไหว้แนะนำตัวจากหน้าอำเภอ ไปรอบตลาด แล้วไปที่สถานีรถไฟ ก่อนที่จะกลับมาพบชาวบ้านแถวบ้าน รุ่งขึ้นก็ออกจากบ้านแต่ตีสามตีสี่ทุกวัน เพราะชาวบ้านออกตัดยางแต่เช้า พอสาย ๆ แกก็ไปที่ตามร้านกาแฟหรือร้านค้าในตลาด ซึ่งก็จะมีผู้คนไปพบปะพูดคุยกันที่นั่น เที่ยงแกกินข้าวแล้วนอนพักนิดหน่อย ก่อนที่จะเดินทางไปตามหมู่บ้าน ได้หมู่หนึ่งบ้าง สองหมู่บ้าง จนมืดค่ำ แล้วก็นอนตามบ้านคนรู้จัก หรือตามวัด บางทีก็ออกเดินตามพระไปบิณฑบาต ช่วยหิ้วข้าวของเหมือนเป็นเด็กวัด กลางคืนก็สนทนาธรรม นั่งตำหมากให้หลวงพี่หลวงพ่อฉัน เพราะแกนั้นกินหมากเป็นประจำอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับชาวบ้านรวมถึงพระในถิ่นนั้นก็เคี้ยวหมากกันเป็นปกติ บางทีก็ไปตั้งวงกินข้าวกับชาวบ้าน ตัวแกไม่กินเหล้า จึงประหยัดค่าเหล้าไปได้มาก ทั้งยังไม่เป็นการเบียดเบียนชาวบ้าน ที่คนกินเหล้ามักจะต้องเสียเงินไปซื้อหามา รวมถึงกับแกล้มของกินต่าง ๆ ก็จะต้องให้สมฐานะ อย่างที่ข้าราชการและตำรวจทั้งหลายชอบทำกับชาวบ้านในถิ่นนี้ ซึ่งสำหรับ “จ่าจิน” แล้วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้าราชการและตำรวจพวกนั้นโดยสิ้นเชิง วันลงคะแนนเลือกตั้งที่ชาวบ้านเรียกว่า “ไปหย่อนบัตร” แกไม่กล้าออกจากบ้านไปไหน เพราะเพื่อนปลัดอาวุโสที่ช่วยแกตอนสมัครเลือกตั้ง บอกแกว่าเดี๋ยวจะมีคนไปฟ้องว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเพราะไปปรากฏตัวให้คนเห็นใกล้คูหาเลือกตั้ง จนกระทั่งตอนเย็นมืดค่ำก็ยังอยู่ในบ้านกับญาติพี่น้องจำนวนหนึ่ง แต่แล้วก็มีชาวบ้านคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์มาจากอำเภอ มาบอกแกว่าแกชนะได้เป็น ส.ส.ด้วยคนหนึ่ง ตัวแกนี้เย็นวาบชาไปหมดทั้งตัว แต่ก็ยังพอมีสติที่จะหยิบพิมเสนที่ใช้ตำกินกับหมาก มาขยี้สูดดมไม่ให้เป็นลมล้มพับไปเสีย ก่อนที่จะขับรถกระบะ “อีแก่” ของแกไปดูผลคะแนนที่อำเภอ แล้วก็กลับมานอนตาค้างอยู่ทั้งคืนเพราะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ และรุ่งเช้าก็มีชาวบ้านนับร้อยมาร่วมแสดงความยินดี หลายคนเอาข้าวและแกงมาให้ เพื่อให้แกเอาไว้เลี้ยงคนที่มายังบ้าน และยังเป็นอย่างนั้นต่อมาทุกวัน ถ้าแกอยู่ที่บ้านหรือกลับมาจากกรุงเทพฯ แบบนี้ไม่ใช่แค่บุญหล่นทับ แต่ยังเป็นภาพที่ “ชาวบ้านอุ้มสม” อันหาดูได้ยาก