“สธ.”ไฟเขียวบุคลากรแพทย์-คนภูมิอ่อนแอบูสต์เข็ม 4 ด้าน“อนุทิน”เผยโอไมครอนเข้าไทยแล้ว 104 ราย “CAAT”ออกประกาศแจ้งสายการบินทั่วโลก หลังไทยคุ้มเข้มบินเข้าปท. พร้อมกำชับทุกสายการบินเฝ้าระวังคุมเข้มอย่างใกล้ชิด “ตำรวจ”จับ“หนุ่มอิสราเอล”ติดโควิด-หนีกักตัวโรงแรมย่านสุขุมวิท ขณะที่“โควิดไทย” ติดเชื้อเพิ่มเล็กน้อย 2,532 ราย ตาย 31ราย ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.64 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ 2 เรื่อง คือ 1.เห็นชอบฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มที่ 4 กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้า รวมทั้งกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภูมิคุ้มกัน โดยให้ฉีดกระตุ้นเข็มที่ 4 ได้หลังจากฉีดเข็มที่ 3 มาแล้ว 3 เดือน ซึ่งหากใครเข้าเกณฑ์ดังกล่าวสามารถฉีดได้ทันที 2.เห็นชอบให้มีการฉีดวัคซีนแก่เด็กอายุ 5-11 ปี โดยต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากอย. ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธ์โอไมครอน ว่า ขณะนี้ตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว104 ราย และกำลังติดตามผู้สัมผัส อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์โอไมครอนเมื่อเทียบกับเดลต้าอาการไม่ได้รุนแรงมากกว่ากัน เพียงแต่อาจติดเชื้อเร็ว ขณะที่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(CAAT) ได้ออกประกาศนักบิน(NOTAM) แจ้งสายการบินทั่วโลกถึงมาตรการที่ปรับปรุงล่าสุดในการเดินทางทางอากาศเข้ามายังประเทศไทย เพื่อยกระดับการป้องกันการขนส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โอมิครอน เข้ามาระบาดในประเทศและกำชับให้สายการบินทุกสายช่วยตรวจสอบกลั่นกรองเอกสารและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด รวมถึงให้สายการบินแจ้งผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ส่วน นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัด กทม. กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานเขต 50 เขต ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินสำนักงานเขต(Emergency Operation Center : EOC) เพื่อเตรียมความพร้อมแผนเผชิญเหตุ เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ในช่วงปีใหม่ ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมMr.OHAD BARUCH สัญชาติอิสราเอลได้แล้ว ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หลังตรวจพบเชื้อโควิดและหลบหนีออกจากโรงแรมสถานที่กักตัวย่านสุขุมวิท ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 2,532 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 2,484 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 48 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสมจำนวน 2,170,198 ราย หายป่วยกลับบ้าน 3,649 ราย เสียชีวิต 32 ราย รวมยอดเสียชีวิตสะสม จำนวน 21,377 ราย