ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการพัฒนาของการกลายพันธุ์ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกอาจจะสะดุดได้อีกครั้ง แต่สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอของโลก ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้เพิ่มขึ้นและเป็นผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต และยังถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ผลิตภัณฑ์สิ่งทอจึงมีความหลากหลายนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ MARKETLINE ประมาณการมูลค่าตลาดสิ่งทอของโลกสูงขึ้นในปี2564 อัตราการเติบโต 6.80% จากปี 2563 และยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดสิ่งทอในประเทศจีนสำหรับปี2563 -2568 จะฟื้นตัว และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 8.70% ต่อปี สำหรับตลาดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลของโลก และตลาดเฟอร์นิเจอร์ มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นในอัตราเฉลี่ย 7.4% และ 3.5% ตามลำดับ โดยบริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลก โดยประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืด ซึ่งจะนำไปเป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าประเภทต่างๆได้แก่ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ถุงเท้า ชุดชั้นใน ยานยนต์ (สายรัดสิ่งของสำหรับมอเตอร์ไซด์) อุปกรณ์ทางการแพทย์ (เช่น สายคล้องหน้ากาก ยางยืดชุด PPEฯ) และเฟอร์นิเจอร์ (สายยางยืดใต้เบาะ) เป็นต้น
โดยมีผลิตภัณฑ์ 2 ประเภท คือ เส้นด้ายยางยืดที่บริษัทผลิตมีทั้งชนิดเคลือบแป้ง (Talcum Rubber Thread) และเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคน (Silicone Rubber Thread) ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง ทั้งหมด 7 แบรนด์ คือ WORLD FLEX, THAITEX, QUALIFLEX, LT RUBBER, CHANGTHAI, PEGASUS (Blue) และ PEGASUS (China)ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด ตั้งอยู่ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง
สำหรับในปี2561-2563 บริษัทมีปริมาณการกำลังการผลิตจริงเส้นด้ายยางยืดทุกขนาดรวม 35,000 ตันต่อปี และงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 86.07% 88.23% 89.41%และ 95.20% ตามลำดับ ทั้งนี้บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนจำหน่ายในต่างประเทศเป็นหลักประมาณ 98%โดยเฉพาะตลาดหลักส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน และในปี 2563 บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป เช่น ประเทศเยอรมนี อิตาลีโปแลนด์ เป็นต้น และทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซิล โคลอมเบีย อาร์เจนตินา ซึ่งบริษัทฯมีการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพของสินค้า ส่งมอบสินค้าตรงเวลา และมีบริการที่น่าประทับใจ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด "A Manufacturer of High Quality Natural Rubber Thread"
WFX เป็นบริษัทผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดรายแรกที่มีศักยภาพ และมีคุณสมบัติพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยหุ้นWFX เข้าทำการซื้อขายหมวดธุรกิจแฟชั่นในวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯได้ระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท/หุ้น คิดเป็น 30.59% ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และเสนอขายไอพีโอในราคาหุ้นละ 7.20 บาท/หุ้น
"ชวลิต ติยาเดชาชัย "ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX กล่าวว่า การระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯจะนำไปซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต 300 ล้านบาท บางส่วนใช้คืนหนี้สถาบันการเงินที่เป็นเงินกู้ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งการเข้าจดทะเบียนใน SET จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทจากการขยายตลาดใหม่ ภายใต้จุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบของโปรดักส์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกขนาด ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
ขณะเดียวกันการที่ WFX ยังมีความได้เปรียบด้านการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มี TRUBB ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการได้ตลอดเวลา
“บริษัทฯมั่นใจว่าภายหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากบริษัทฯ เดินหน้าขยายกำลังการผลิต ซึ่งเฟสแรกมีกำหนดจะผลิตได้ในช่วงกลางปี 2565 จำนวน 6,200 ตัน/ปี และในเดือนม.ค. 2566 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6,200 ตัน เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าในต่างประเทศ ที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก เมื่อมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 12,400 ตัน/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 35,000 ตัน/ปี จะเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับ WFX ได้เป็นอย่างดี และสามารถผลักดันการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดโลกได้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า”
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2561-2563 มีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 7.72 ล้านบาท และ 57.81 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2561-2563 อยู่ที่ 4.82% 4.76% 7.42% และกำไรสุทธิในปี 2561-2563 อยู่ที่ 1.03% 0.38% 2.40% ตามลำดับ ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีการเติบโตที่โดดเด่นมาก โดยมีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของ WFX เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในเอเชียใต้ บังคลาเทศ ปากีสถาน เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย บราซิล อาเจนตินา และชิลี รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) จากคู่แข่ง จากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่า ซึ่งภายหลังเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) บริษัทฯมีแผนนำเงินบางส่วนไปใช้คืนหนี้สถาบันการเงิน ทำให้ D/E อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากที่โบรกเกอร์ประเมินแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรของ WFX ในช่วงปี 2564-2565 พบว่า จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 133% ดังนั้นสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯมีความพร้อมในทุกมิติ ด้านกำลังการผลิต ศักยภาพทั้งในด้านแหล่งเงินทุน ตลอดจนความสามารถในการรุกขยายไปตลาดใหม่ๆทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีความต้องการใช้สูงจะช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นไปสู่เบอร์หนึ่งในตลาดโลกตามเป้าหมายได้อย่างแน่นอน