นายชูวิทย์​ กมลวิศิษฏ์​ อดีตส.ส. บัญชีรายชื่อ​ พรรครักประเทศไทย​ ได้โพสต์ถึงกรณี"เลือกผู้ว่าฯ กรุงเทพ สงครามสั่งสอน"ว่า ผมอยู่กรุงเทพฯ มามากกว่า 50 ปี ลงผู้ว่า 2 ครั้ง ลง ส.ส. บัญชีรายชื่อยุคพรรคชาติไทย จนมาถึงยุคเลือกตั้งปี 2554 ได้คะแนนกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากสุด ส่วนคะแนนรวมทั้งประเทศเกือบล้านเสียง . สรุปได้ว่า ไม่มีผู้ว่าฯ คนใดทำตามนโยบายได้เหมือนอย่างที่หาเสียงไว้ . และเอาจริงๆ คนกรุงเทพฯ ไม่ได้สนใจนโยบายผู้ว่าฯ เสียเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ฟังไปอย่างนั้น . “กระแส” คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะมาก่อนเลือกตั้งประมาณ 1-2 อาทิตย์ . ผลโพลล์ไม่ได้ส่งผลใดๆ อะไรที่แน่อาจไม่แน่ พรรคประชาธิปัตย์ชนะได้เพราะกระแสพลิก ไม่ใช่ชนะเพราะนโยบาย . หากไม่เชื่อ ย้อนกลับไปดูสมัยผู้ว่าฯ อภิรักษ์ ที่ออกนโยบาย “อัจฉริยะ” ทั้งหลาย ไม่ว่า ป้ายรถเมล์อัจฉริยะ หรือป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ เพียงแค่ไม่กี่ปี ป้ายพวกนั้นหายไปหมด . คนกรุงเทพฯ ไม่ได้พึ่งนักการเมือง เอาว่า ส.ส. เขตบ้านตัวเองเป็นใครยังไม่รู้ เพราะเช้ารีบออกจากบ้าน รถติด ฝุ่นมาก น้ำท่วม เย็นก็รีบกลับบ้าน รถติดเหมือนเดิม . มันก็เป็นแบบนี้มาไม่รู้นานแค่ไหน ให้ผู้ว่าฯ คนใดขี่ม้าสามศอกมาแก้ก็ไม่เคยทำได้ . ดังนั้น ให้ดูคะแนนจัดตั้ง บวกกระแสส่งท้าย . อะไรที่ว่า “นอนมา” ยังเคยถูกคนกรุงเทพฯ เปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายกันมาแล้ว แค่คำพูดประโยคเดียวชีวิตเปลี่ยน . และขอเตือน อย่าได้ไปดูแคลนผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน ที่ชื่ออัศวิน ขวัญเมือง . เพราะซุ่มลงพื้นที่ เพาะคะแนนจัดตั้งมานาน หากพรรคพลังประชารัฐสนับสนุน . อะไรที่แน่มันก็ไม่แน่ อะไรที่ไม่แน่มันดันเสือกมาแน่เอาตอนวันสุดท้าย . สงครามสั่งสอนจากคนกรุงเทพฯ กำลังจะเริ่ม เมื่อกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร จะมีเลือกตั้งผู้ว่าฯ อีกครั้งในรอบ 9 ปี