ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล คนเราเมื่อมีโอกาสเล็ก ๆ แต่ด้วยความฝันใหญ่ ๆ ก็อาจเปลี่ยนชีวิตไปได้ อนงค์นาถมีความฝันหลายอย่างมาตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนที่พอจำความได้เมื่ออายุ 4 - 5 ขวบนั้น ก็ฝันว่าอยากกินขนมอร่อย ๆ ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ แต่ด้วยความอัตคัดขัดสน อนงค์นาถก็ได้แต่ “ขึ้นบก” คือเดินออกจากกระท่อมในดงจากริมแม่น้ำที่เธออาศัยอยู่ ไปยังสวนที่อยู่ถัดขึ้นไปที่มีต้นไม้อื่น ๆ ให้ตื่นตาตื่นใจ และที่จำได้แม่นคือมีผลไม้อร่อย ๆ ให้เก็บกิน โดยเฉพาะมะม่วงหวาน ๆ และชมพู่หอม ๆ ซึ่งสามารถเก็บกินได้จากพื้นดิน เฉพาะลูกที่ร่วงลงมาเองและเจ้าของเขาไม่หวง แต่ถ้าหากไปเก็บมาจากต้นก็อาจจะต้องรีบวิ่งหนี เมื่อมีเสียงร้องขึ้นว่า “ขโมย ๆ” ตามหลังมา ส่วนเสื้อผ้าสวย ๆ นั้นอยู่ห่างไกลความฝันยิ่งนัก ตอนเวลาที่ไปโรงเรียนก็ได้แต่มองดูเด็กคนอื่น ๆ ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ส่วนตัวเธอก็มีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ 2 ชุด ที่ย่านิดไปขอบริจาคมาให้ เอามาซักแล้วใส่สลับกันไปจนจบในแต่ละชั้นปี กระทั่งจบ ป.7 พอได้ทำงานโรงงานก็ใส่ชุดฟอร์มของโรงงาน ที่ก็แค่เสื้อยืดสีเข้ม ๆ กางเกงหนา ๆ สำหรับงานที่ต้องใช้แรงงานอยู่ตลอดวัน จนกระทั่งเธอบรรลุนิติภาวะ ได้มาเป็นสาวโรงงานอย่างเต็มตัวแถวสมุทรปราการ เธอก็เริ่มหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ บ้าง แต่ก็อดใจที่จะไม่ใส่อะไรที่ “สวยเกิน” แม้รูปร่างหน้าตาของเธอจะพอไปวัดไปวาได้บ้าง แต่ก็ยังรู้สึก “เจียมกับเขียม” ที่จะไม่ทำอะไรเกินตัว ตอนที่อยู่ในโรงเรียน ถ้ามีเวลาว่างสักแวบ เธอจะไปที่มุมหนังสือ โรงเรียนที่เธอเรียนก็คือโรงเรียนประชาบาล ไม่มีห้องสมุด จะมีแต่มุมหนังสืออยู่ข้างห้องครูใหญ่ มีหนังสือสัก 100 กว่าเล่ม ที่เป็นหนังสือเก่า ๆ ที่มีคนเอามาบริจาค หรือครู ๆ ไปขอมาวางไว้ ที่เธอชอบอ่านคือพวกนิตยสารและหนังสือพิมพ์เก่า ๆ เพราะจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวและอวกาศ บางทีพออ่านเรื่องเหล่านั้นมาก ๆ เธอถึงกับนอนฝันว่า เธอได้ขึ้นไปกับยานอวกาศและล่องลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาว ทำให้เธอมีความสุขมาก เหมือนได้ออกจากความหดหู่ในโลกจริงที่เธออยู่ ไปยังที่กว้างขวางสุดขอบฟ้าในจินตนาการนั้น ครั้งหนึ่งที่เธอได้ทำงานในโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เธอทราบว่าชิ้นส่วนเหล่านี้ได้ถูกส่งไปเป็นส่วนประกอบของเครื่องมือบางอย่างในยานอวกาศ ทำให้เธอรู้สึกหัวใจพองโต เหมือนว่าได้ไปประกอบตัวยานหรือขึ้นไปกับยานนั้นจริง ๆ เธอกลับทำงานใกล้บ้านในตอนอายุใกล้สี่สิบ น่าแปลกมากที่เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวเลย อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง และได้เห็นว่าชีวิตที่ไม่มั่นคงนั้น ได้สร้างความทุกข์ทรมานแก่เด็ก ๆ ที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดนั้นอย่างไร และยิ่งเธอได้เห็นชีวิตปากกัดตีนถีบของคนงานที่ร่วมโรงงาน ก็ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวในเรื่องของชีวิตครอบครัว โดยเฉพาะกับผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวัน ๆ ตอนเธอแตกเนื้อสาวก็มีความรู้สึกเหมือนเช่นสาว ๆ ทุกคน ที่อยากให้มีใครมาสนใจ แต่พอเห็นสภาพของผู้ชายส่วนใหญ่ที่สกปรก หยาบคาย และบางทีก็เห็นแก่ตัว ทำให้เธอต้องเลิกคิด ยิ่งย่านบ้านเช่าที่เธอพักอยู่ใกล้โรงงาน คนงานที่เป็นผัวเมียกันก็ทะเลาะกันทุกวัน ผัวตบเมียบ้าง เมียตีลูกบ้าง ยิ่งทำให้เธอหวดผวากลัวการมีชีวิตคู่ บ่อยครั้งเธอฝันว่ามีคนมาห้อมล้อมเธอ เพื่อขอพรศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ สภาพเธอเหมือนผู้วิเศษที่ทุกคนต้องมาพึ่ง เธอคิดว่านั่นแหละคือสุดยอดปรารถนาในชีวิตของเธอจริง ๆ คือเป็น “ที่พึ่ง” ของผู้คนทั้งหลาย เธอกลับมาอยู่บ้านได้ 2 ปีกว่า วันหนึ่งได้เข้าไปที่อำเภอเพื่อทำบัตรประชาชนใหม่ พอทำบัตรเสร็จก็เดินไปทางด้านหลังที่เป็นหอประชุมที่เป็นโรงเรือนโล่ง ๆ มีผู้คนสัก 20 คนกำลังนั่งฟังอะไรอยู่สักอย่าง ผู้พูดเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำลังชี้แจงว่ารัฐบาลมีนโยบายประกันสุขภาพ เพียงจ่ายเงินแค่ 30 บาท ก็จะได้รับการรักษาดูแลเป็นอย่างดี จนเธอได้สะดุดตรงคำพูดที่ว่า “เราต้องการคนมาช่วยดูแลชาวบ้านพี่น้องของเรา” เธอจึงไปนั่งฟัง คนที่สาธารณสุขต้องการให้เข้าไปทำหน้าที่ช่วยชาวบ้านนั้นก็คือ “อาสาสมัครสาธารณสุข” หรือ “อสม.” ระหว่างที่ฟังอยู่นั้นก็ทำให้เธอนึกถึง “ที่พึ่ง” อย่างที่เธอเคยใฝ่ฝัน พอเธอไปสอบถามรายละเอียดก็เห็นว่าตรงกับที่เธอต้องการนั้นเลย เธอจึงกรอกใบสมัคร จากนั้นก็มีการอบรมแล้วออกไปทำงานในชุมชน ชาวบ้านหลายคนไม่รู้จักเธอ เพราะเธอไม่ได้มีเครือญาติอะไรที่นี่ เธอจึงเป็นเหมือนคนใหม่สำหรับทุกคน แต่ผ่านไปได้สักปีกว่า ๆ หลายคนก็รู้จักเธอเป็นอย่างดี เธอเข้าไปแนะนำเรื่องการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงที่เธอทำได้ดีเป็นพิเศษ โดยเหตุที่เธอไม่มีพ่อแม่ จะมีก็แต่ปู่ย่าบุญธรรมคือย่านิดและปู่ชิดที่เลี้ยงเธอมา แม้จะไม่ได้ดูแลเป็นอย่างดีเท่าใดนัก แต่เธอก็ระลึกถึงพระคุณของคนทั้งสองเสมอ นี่เองกระทั่งที่ทำให้เธอเอาใจใส่กับผู้สูงอายุเป็นพิเศษ เหมือนว่าได้ทำออกมาเพื่อตอบแทนพระคุณของท่านทั้งสองนั้น ปีต่อมามีการเลือกตั้ง ส.ส. พวก อสม.ในอำเภอของเธอบางคนได้ถูกเรียกให้ไปประชุมที่บ้านของกำนันคนหนึ่ง นัยว่าจะมีการจัดงานขอบคุณผู้ให้การช่วยเหลือในกิจกรรมของ อสม.อะไรสักอย่าง ซึ่งพอไปนั่งฟังจริง ๆ กลับเป็นเรื่องการขอให้ช่วยไปคุยกับชาวบ้านเพื่อเลือกผู้สมัครคนหนึ่งที่เป็น ส.ส.อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นคนของพรรคที่ทำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคนั้นนั่นเอง มีการโฆษณาว่าจะมีการเพิ่มเงินตอบแทนให้กับ อสม. จะมีการพาไปทัศนศึกษาต่างประเทศสำหรับ อสม.ที่มีผลงานดีเด่น ซึ่ง ส.ส.ของพรรคนี้ในเขตนี้จะเป็นผู้เลือก รวมถึงที่บอกว่าจะมี “ค่าเหนื่อย” เป็นรางวัลตอบแทนถ้าผู้สมัครที่มาขอคะแนนนี้ได้เป็น ส.ส.ต่อไป พอเธอได้ฟังก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล เอาเรื่องนี้ไปพูดกับ อสม.บางคนที่รู้สึกคล้าย ๆ กัน ซึ่งบางคนก็บอกว่าต้องเงียบไว้ อย่าไปพูดต่อ เดี๋ยวจะเป็นอันตราย เธอจึงต้องเก็บความรู้สึกอึดอัดนั้นไว้ แต่ก็คิดหาทางออกว่าน่าจะต้องไปบอกกับคู่แข่งของอดีต ส.ส. กระนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรกับ ส.ส.คนนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งเขามีฐานเสียงอยู่ในอีกตำบลหนึ่งซึ่งเป็นตำบลที่เธออยู่ จึงสนับสนุนให้เธอมาทำงานให้เขา แต่อนงค์นาถก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากเป็นหัวคะแนนให้กับนักการเมือง แต่เธออยากทำงานให้กับประชาชนนั้นมากกว่า ผู้สมัครคนนั้นจึงบอกว่าปีหน้าจะต้องมีการเลือกผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เธออยากจะลองสมัครดูไหม เพราะเธอก็มีคนรู้จักและทำงานเพื่อชาวบ้านได้ดี เธอก็ตอบตกลง ผลการเลือกตั้งเธอแพ้ฉิวเฉียด แต่เธอก็ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งมีการทุจริต ที่สุดคนที่ได้คะแนนนำเธอนั้นก็ถูกปลด เมื่อมีการสอบสวนว่ามีโกงการเลือกตั้งจริง ทำให้เธอได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี อนงค์นาถดูเหมือนคนที่มีชีวิตใหม่ แต่ทว่ามันคือ “ทุกขลาภ” ที่ทำเอาเธอแทบจะเอาชีวิตไม่รอด