นายพิพัฒน์ วรสิทธิดำรง นายกสมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้กำหนดระเบียบว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. ๒๕๖๔ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไปแล้วนั้น สมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย ได้รับการร้องเรียนและขอความช่วยเหลือจากข้าราชการส่วนท้องถิ่นในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล กรณีดังกล่าวเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ การจัดทำบัญชีเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการ ยกเว้นที่ปรากฏในบัญชีอื่น (ข้าราชการพลเรือน) ตามบัญชี ๑๕ กับ การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่น ตามบัญชี ๑๗ ได้กำหนดคุณสมบัติที่แตกต่างกันในระดับตำแหน่งที่เทียบเคียงกัน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗ ที่บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้ฯลฯ บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้กฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม” นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น สมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทยได้ตรวจสอบและพิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่า การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการ ยกเว้นที่ปรากฏในบัญชีอื่น (ข้าราชการพลเรือน) ตามบัญชี ๑๕ กับ การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่น ตามบัญชี ๑๗ สำนักนายกรัฐมนตรีได้กำหนดคุณสมบัติเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค และไม่เท่าเทียมกันจริง ดังนั้น สมาคมฯ จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการ การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเพื่อให้มีการทบทวนการจัดทำบัญชีแนบท้ายระเบียบดังกล่าวต่อไป “การกำหนดสิทธิประโยชน์ใดๆ ของข้าราชการส่วนท้องถิ่น สำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานข้าราชการพลเรือน มักจะกำหนดหลักเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรมกับข้าราชการส่วนท้องถิ่น เสมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันระหว่างสิทธิประโยชน์ของข้าราชการพลเรือนสามัญ กับข้าราชการส่วนท้องถิ่น มาอย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีการเทียบตำแหน่งในการโอนและรับโอนระหว่างข้าราชการพลเรือน กับ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น สำนักงาน ก.พ. ก็กำหนดคุณสมบัติการรับโอนข้าราชการส่วนท้องถิ่นไปสังกัดหน่วยงานของส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไว้สูงกว่าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับโอนข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการประเภทอื่นมาบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น อันเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ และยังเป็นการตอกย้ำให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นมีความรู้สึกเสมือนว่า ตนเองเป็นข้าราชการชั้นสอง ทั้งๆ ที่งานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น มีภาระงานที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง กรม ซึ่งค่อนข้างกว้างและหนักกว่าข้าราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคหลายเท่าตัว” นายพิพัฒน์ กล่าว +++++++++++++