"เวิลด์แบงก์"คงจีดีพี"ไทย"ปี 64โต 1% ปี 65 ฟื้น 3.9% ก่อนโตเพิ่ม 4.3% ปี 66 เกาะติดโอไมครอนหวั่นทุบเศรษฐกิจซ้ำ แนะรัฐเร่งหนุนดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.64 นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า เวิลด์แบงก์ได้ออกรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย ธ.ค.64 : อยู่กับโควิดในโลกยุคดิจิทัล โดยได้ประมาณการเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีในปี 2564 ไว้ที่ 1% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการครั้งก่อน หลังจากได้รับผลกระทบจากโควิดและเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 3 ซึ่งจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น และยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเท่ากับก่อนโควิด-19 ได้ในช่วงปลายปี 2565 โดยจีดีพีในปี 2565 จะเติบโต 3.9% และจะเพิ่มขึ้นในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโต 4.3% จากแรงส่งด้านการส่งออก การบริโภคและการท่องเที่ยว สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเกือบ 7 ล้านคนในปี 2565 โดยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปีและเพิ่มขึ้นอีกในปี 2566 เป็น 20 ล้านคนหรือประมาณครึ่งหนึ่งของระดับนักท่องเที่ยวในปี 2562 โดยคาดว่าการท่องเที่ยวจะช่วยส่งผลต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีได้ 2% ในปี 2565 และ 4% ในปี 2566 ส่วนการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวเกือบ 4% ในปี 2565 และปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่คาดการณ์ไว้ 1% นอกจากนี้สิ่งที่ยังต้องติดตามใกล้ชิดคือกรณีหากมีการระบาดโควิด-19 ใหม่อีกรอบ และเป็นสายพันธุ์ใหม่ อาจทำให้ควบคุมได้ยาก จนภาครัฐต้องออกมาตรการเพื่อมาจำกัดการระบาด จำกัดการเดินทาง อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 กลับมาติดลบ 0.3% และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช้าออกไป 1 ปี ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาแรงงานได้รับผลกระทบจากโควิด จำเป็นต้องย้ายจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 3% สะท้อนว่ามีความเปราะบาง โดยภาครัฐได้มี พ.ร.ก.เงินกู้รวม 1.5 ล้านล้านบาท มาใช้กับการเยียวยา เป็นมาตรการช่วยประคับประคองคนที่ยากจนและรับผลกระทบโควิด ส่วนหนี้สาธารณะยังมีพื้นที่ทางการคลังใช้อย่างเพียงพอ แต่อาจต้องใช้อย่างเฉพาะจุดมากขึ้น ขณะที่การประมาณการได้นำเรื่องดิจิทัลเข้ามาประมาณการเศรษฐกิจด้วย โดยคำนึงถึงการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีมาช่วยเช่น การทำงานที่บ้านหรือเวิร์คฟอร์มโฮมในช่วงวิด , การเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการเยียวยาภาครัฐ และไทยถือเป็นประเทศแรกๆที่นำฟินเทคมาใช้ ตั้งแต่ก่อนโควิด มีพร้อมเพย์ มีฐานข้อมูลการชำระเงิน และมองว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้จะถูกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล และยังต้องเร่งพัฒนา เพราะปัจจุบันทักษะแรงงานยังขาดดิจิทัลที่เป็นภาคบริการอยู่ จากโครงสร้างเดิมคือเน้นการส่งออก การท่องเที่ยวเป็นหลัก ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และที่ผ่านมามีมาตรการประคับประคองความยากจน และคนตกงาน โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาเท่ากับก่อนโควิดในช่วงปลายปี 2565 จากการส่งออกที่จะเป็นตัวขับเคลื่อน และการบริโภคที่อัดอั้นมานานจากช่วงโควิด และผลกระทบของโควิดต่อรายได้ แต่หนี้ครัวเรือนสูงยังเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายในระยะข้างหน้า "เศรษฐกิจไทยมีทั้งข่าวดีและปัจจัยเสี่ยง โดยปัจจัยบวกคือ เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นไปและกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดฯในช่วงปลายปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ยังก็มีปัจจัยเสี่ยงใน 3 ประเด็นคือ การระบาดกลับมาของโควิด-19 หรือการกลายพันธุ์ใหม่ รวมถึงนโยบายการท่องเที่ยวในระดับโลกเนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง และปัญหา Global Supply chain disruption โดยมองกรณี down side อาทิ มีการระบาดรอบใหม่ที่รุนแรง ทำให้ต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมอีกครั้งคาดการณ์จีดีพีในปีหน้าติดลบ 0.3% และการกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดช้าไป 1 ปี ซึ่งกรณีการระบาดของโอไมครอนรวมอยู่ในปัจจัยเสี่ยงนี้" นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ได้มีข้อเสนอแนะนอกจากรัฐบาลได้ดำเนินการหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนวาระดิจิทัลแล้ว รัฐบาลสามารถดำเนินการเพิ่มเติมได้อีกเพื่อพัฒนาบริการดิจิทัลและกระตุ้นธุรกิจดิจิทัล เช่น การส่งเสริมการแข่งขันและการจูงใจให้เกิดความสามารถในการทำงานร่วมกันในตลาดดิจิทัล การเพิ่มความพร้อมของทักษะด้านดิจิทัลและทักษะเสริมอื่นๆ รวมถึงยกระดับการเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ตั้งแต่การของโควิดในเดือนมี.ค.63 มีจำนวน 30% ของผู้ใช้บริการดิจิทัลทั้งหมดในไทยเป็นผู้ใช้บริการรายใหม่ และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึง 90% ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาครองจากสิงคโปร์ “ในขณะที่แผลเป็นจากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 อาจคงอยู่ไปอีกนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสูญเสียงานและการปิดโรงเรียน การพัฒนาที่นำโดยดิจิทัลสามารถช่วยชดเชยผลกระทบจากรอยแผลเป็นเหล่านี้ และทำให้มั่นใจได้ว่าการเติบโตจะมีความทั่วถึงและเท่าเทียมกัน”