ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
การเปลี่ยนความเชื่อเรื่องเสนียดจัญไรในสังคมที่งมงายเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
อนงค์นาถเกิดในเพิงไม้สะแกมุงจากกลางดงจาก ริมแม่น้ำบางปะกง ใกล้ปากอ่าวไทย เธอรู้จักพ่อแม่ก็แต่ในใบสูติบัตร เพราะพอเกิดมาพ่อแม่ก็ทิ้งเธอไว้กับย่า ต่อมาในอายุที่พอจะจำความได้ ย่าก็ทิ้งเธอไว้กับลูกพี่ลูกน้องที่เธอเรียกว่า “ย่านิด” ย่านิดมีสามีชื่อปู่ชิด ทั้งสองคนเลี้ยงเธอมาจนโต ทำให้เธอรู้ว่าเธอเป็นที่รังเกียจของพ่อแม่รวมถึงย่า เพราะตอนที่เกิดมาอายุได้ราว 6 เดือน ไฟก็ไหม้เพิงที่พ่อกับแม่หนีมาอยู่ด้วยกันและเป็นที่ที่ทำคลอดเธอนั้น เธอเองก็ต้องคลานกระเสือกกระสนหนีพ้นไฟคลอกมาได้อย่างปาฏิหาริย์ พอย่ารับมาเลี้ยงไว้ ก็ทำให้ย่าป่วยกระเสาะกระแสะจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ย่าเชื่อว่าคงเป็นเพราะเธอเป็นกาลกิณี ซึ่งย่านิดเล่าว่า ย่าแท้ ๆ ของเธอนั้นจะเอาเธอไปฝากเป็นลูกของหลวงตาที่วัดหน้าคุ้งน้ำ เสียแต่ว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิง แต่กระนั้นก็เปลี่ยนชื่อเธอจากน้ำฝนมาเป็นอนงค์ หรือ “อีนง” ด้วยหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งก็คงไม่เป็นที่พอใจของย่า ถึงขั้นที่ประกาศหาคนเลี้ยงใหม่ แต่ชาวบ้านที่ล้วนแต่ต้องปากกัดตีนถีบก็ไม่ได้สนใจ บางคืนมีคนได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังลั่นออกมาจากป่าจาก พอเช้ามามีชาวบ้านบางคนเดินเข้าไปดู ก็พบเธออยู่คนเดียว ย่านิดก็เคยไปดู จึงเกิดความสงสาร แม้จะมีฐานะย่ำแย่พอ ๆ กันกับชาวบ้านแถวนั้นทุกคน แต่ด้วยความเป็นญาติก็อดที่จะเข้าโอบอุ้มช่วยเหลือไม่ได้
อนงค์หรือที่ใคร ๆ เมื่อ 50 ปีก่อนว่า “อีนง” เป็นเด็กที่เก็บตัวเงียบด้วยความเจียมตัวและอดทนอย่างยิ่ง ย่านิดเองก็มีลูกกับปู่ชิด 3 คน ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นภายหลังที่เธอมาอยู่กับย่านิดกับปู่ชิดนั้นแล้ว เธอจึงมีศักดิ์เป็นพี่ของเด็กทั้ง 3 นั้น แต่ก็ไม่ใครเรียกเธอว่าพี่สักคน คงเรียกว่าอีนงหรือนังนงอย่างที่คนอื่น ๆ เขาเรียกกัน และเมื่ออยู่ในบ้านเธอก็ต้องทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก 3 คนนั้น ไปจนถึงคนรับใช้ คนครัว คนสวน และคนเฝ้าบ้าน เมื่อเวลาที่คนทั้งบ้านนั้นไปเที่ยวงานบุญงานวัด ซึ่งเธอไม่มีโอกาสได้ไปเห็นเดือนเห็นตะวันอะไรกับเขาเลย แต่ก็ได้อาศัยเรียนหนังสือกับเขาได้บ้าง แต่นั่นเธอก็วิ่งไปกลับโรงเรียนวันละ 3 รอบ คือเช้าที่ไปโรงเรียน กลางวันที่ต้องกลับมาเลี้ยงน้อง ๆ ที่บ้าน และตอนบ่ายที่จะต้องรีบมาเตรียมข้าวปลาอาหารให้คนทั้งบ้านกินในตอนเย็น แม้ว่าย่านิดและปู่ชิดจะเลี้ยงดูเธอมาในแบบนั้น แต่เธอก็ไม่เคยลืมพระคุณคนทั้งสอง ที่ไม่เพียงแต่ให้เธออยู่ในบ้านและมีข้าวกินมาจนโต แต่ก็ได้ทำให้เธอนั้นรู้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ย่านิดพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า พ่อแม่และย่าแท้ ๆ ของเธอนั้นแย่มาก หมูหมามันยังเลี้ยงลูกของมัน และปกป้องลูกของมันด้วยชีวิต แต่นี่กลับทิ้งเธอไปอย่างไม่แยแส เธอเคยเห็นย่านิดเฝ้าสวดมนต์เป็นครึ่งคืนเวลาที่เธอป่วย เพราะไม่มีเงินพาเธอไปหาหมอหรือแม้แต่จะซื้อยาแก้ไข้ ซึ่งเธอก็รอดพ้นความตายมาได้ ย่านิดยังบอกให้ปู่ชิดไปจับปลามาต้มถวายเจ้าที่ตรงทางสามแพร่งใกล้บ้าน เพื่อแก้บนที่อนงค์หายป่วย ทำให้เธอรู้ว่าลึก ๆ ทั้งสองคนนั้นก็มีเยื่อใยกับเธออยู่มาก
เธอเรียนจนจบชั้นประถม 7 แล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ แถวบ้านเธอมีโรงงานมาตั้งอยู่มาก ส่วนมากเป็นโกดังข้าวและมันสำปะหลัง ที่เก็บไว้เพื่อส่งออกไปขายต่างประเทศ เธอต้องออกไปเป็นกุลีเก็บกวาดแบกหามอยู่ในโรงงานทำมันสำปะหลังอัดเม็ด ที่มีแต่ฝุ่นผงสกปรกและร้อนจนเหงื่อเหนียวตลอดทั้งวัน ได้เงินวันละ 50 บาท ที่นับว่าไม่มากนัก ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวมีราคาชามละ 10 บาทในตอนนั้น แต่ก็พอเหลือเก็บไว้บ้างส่วนหนึ่ง ซึ่งบางเดือนก็มีเงินให้ย่านิดกับปู่ชิด 2-3 ร้อยบาท เป็น “ค่าข้าวสุก” ที่คนทั้งสองเลี้ยงดูเธอมา ส่วนที่เธอเก็บไว้ได้เองก็มีจำนวนเท่า ๆ กัน เธอก็แอบเอาไปฝากธนาคารออมสินในอำเภอ ตั้งใจว่าจะเอาไว้เรียนหนังสือในชั้นสูง ๆ ต่อไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเรียนจนถึงระดับปริญญา และได้รับพระราชทานปริญญาบัตรอย่างที่เธอเห็นในรูปภาพที่ติดอยู่ในร้านค้าที่ในตลาดนั้น แต่เธอก็ไม่มีเวลาที่จะเรียนที่ไหนได้ เพราะเมื่อเสร็จจากงานที่ดรงงานแล้ว ก็ยังต้องมาทำงานอย่างหนักที่บ้านทั้งเช้าและเย็นเหมือนเดิม รวมถึงที่ต้อง “รับใช้” น้อง ๆ ทั้งสาม ที่ได้เรียนหนังสือมากกว่าเธอ แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่น จนเมื่อน้องคนเล็กได้เข้าเรียนมัธยม และเธอก็บรรลุนิติภาวะพอดี เธอก็โกหกย่านิดกับปู่ชิดว่า จะไปตามหาพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ แต่ที่จริงเธอต้องการที่จะสลัด “โซ่” ออกมาเสียจากบ้านนั้น เธอมาหางานทำที่โรงงานแถวพระประแดง และเรียนการศึกษานอกเรียน ที่เรียกว่า กศน. ไปพร้อม ๆ กัน เธอเปลี่ยนชื่อเป็น “อนงค์นาถ” ที่คำว่า “นาถ” หมายถึง “ที่พึ่ง” แทนที่จะมีแต่ความหมายว่า “ผู้หญิง” เพียงโดด ๆ ในชื่อเก่านั้น และตั้งใจอย่างมุ่งมั่นว่า “ตนคือที่พึ่งของตน” แม้จะเป็นผู้หญิงเพียงตัวคนเดียวนี้
เธอวนเวียนทำงานอยู่หลายโรงงานในช่วงสิบกว่าปีในจังหวัดสมุทรปราการนั้น บางโรงงานก็เปลี่ยนเจ้าของ บางโรงงานก็เปลี่ยนกิจการ บ้างก็เจ๊งไปไม่รอด บ้างก็ขายที่ทำบ้านจัดสรร รวมถึงสนามกอล์ฟและรีสอร์ตสวย ๆ เธอกลับมาบ้านที่ปากแม่น้ำบางปะกงเมื่อ 2540 ตอนนั้นเธอจบ ปวช.ด้านการบัญชี ด้วยการเรียนในระบบทางไกลเมื่อตอนที่เธอทำงานช่วงสุดท้ายที่บางปู เธอมาที่บ้านของย่านิดกับปู่ชิด แต่ทราบจากน้องหรือลูกคนหนึ่งของคนทั้งสองว่าประสบอุบัติเหตุตายไปทั้งสองคนเมื่อปีก่อน เธอไปกราบอัฐิของทั้งสองคนที่วัด แล้วก็ได้ทราบว่าดงจากบริเวณที่เคยเป็นบ้านของเธอและเคยไฟไหม้ตอนเธอเพิ่งคลานได้นั้น ทางจังหวัดได้ประกาศเป็นที่รกร้าง และเปิดให้จับจองเป็นที่อยู่กับทำการเกษตรในรูปแบบของการเช่า ซึ่งก็เธอไปจับสลากจองมาได้ 2 งาน พอถึงวันจ่ายเงินทำสัญญาเช่า คนที่จองได้ที่ติดกันเกิดสละสิทธิ์ เธอจึงได้สิทธิ์เช่าที่เพิ่มอีกไร่หนึ่ง ซึ่งมีทางออกที่ริมแม่น้ำนั้นด้วย แม้ว่าค่าเช่าจะไม่แพงมากเพียงปีละไม่กี่ร้อยบาท แต่เธอก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาที่ดิน 1 ไร่ 2 งานนั้น เพราะตามสัญญาการเช่าจะต้องทำการเกษตร เช่น ถ้าติดน้ำก็ทำกระชังปลา หรือเก็บลูกจากใบจาก หรือถ้าอยู่ข้างในเข้ามาก็เลี้ยงเป็ด หรือปลูกผัก เป็นต้น อนงค์นาถแรก ๆ ก็ไปรับจ้างทำงานบ้านของบ้านจัดสรรแถวใกล้ ๆ รวมถึงเอาไข่เป็ดกับผักไปขาย แล้วซื้อข้าวสารอาหารแห้งมาเก็บไว้ เพราะสภาพพื้นที่ที่มีน้ำขึ้นน้ำลงและน้ำท่วมตลอดทั้งปีนั้น เสี่ยงกับการออกไปหาซื้อข้าวของต่าง ๆ ได้ไม่ง่ายนัก บางปีถึงกับพัดเพิงที่เธอปลูกไว้อย่างไม่ค่อยแข็งแรงนั้นหายไปต่อหน้า ทำให้เธอตั้งใจว่าจะต้องสร้างบ้านจริง ๆ ที่แข็งแรงให้ได้โดยเร็ว
วันหนึ่งเธอไปทำธุระที่อำเภอ แล้วก็มีบางสิ่งเข้ามาหาเธอ ที่ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปในทันที