กรมชลประทาน สนับสนุนชาวนามหาสารคาม นำร่องโครงการต้นแบบการใช้ประโยชน์สูงสุดจากน้ำท่วมค้างทุ่ง ใช้น้ำที่เหลือจากน้ำท่วมขังในฤดูน้ำหลาก มาใช้ในการเตรียมแปลงเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ตามนโยบายของนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน หวังให้เกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำเตรียมแปลงเพาะปลูก วันที่ 8 ธ.ค.64 นายเกียรติศักดิ์ หนูแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6 เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูฝนปีที่ผ่านมา ได้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ 2 ฝั่งของลำน้ำชี ในเขตจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และยโสธร นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน ได้มอบนโยบายให้โครงการชลประทาน เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากน้ำที่ท่วมขังค้างทุ่ง มาใช้ในการเตรียมแปลงเพาะปลูกข้าว โดยให้เกษตรกรที่มีแปลงนาถูกน้ำท่วมขัง เริ่มไถนาและหว่านข้าวในแปลงที่อยู่ระดับสูงกว่าก่อน ก่อนจะปล่อยน้ำที่ท่วมขังลงไปให้แปลงที่อยู่ต่ำกว่า ในลักษณะลดหลั่นกันลงไป และเมื่อเกษตรกรใช้น้ำค้างทุ่งจนหมดแล้ว จึงจะใช้น้ำที่ส่งจากระบบชลประทานเข้าไปเสริม เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้น้ำค้างทุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำชีโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ช่วยลดต้นทุนในการไถเตรียมแปลง ด้วยการไถพรวนเพียงครั้งเดียว รวมไปถึงเป็นต้นแบบให้เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยได้ศึกษาเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองต่อไป สำหรับพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชีกลางได้นำร่องพื้นที่สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเขื่อนวังยาง ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำชีจำนวน 923 ไร่ เป็นพื้นที่ต้นแบบในการใช้ประโยชน์จากน้ำท่วมค้างทุ่ง ซึ่งโดยปกติในการทำนาข้าวจะใช้น้ำประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ การใช้น้ำท่วมที่ค้างอยู่ในทุ่งมาไถเตรียมแปลงจะช่วยให้สามารถลดปริมาณการใช้น้ำลงได้ประมาณไร่ละ 400 ลบ.ม. ส่งผลให้เขื่อนวังยางสามารถประหยัดน้ำจากการทำนาในฤดูนี้ได้ประมาณ 369,200 ลบ.ม. ด้าน นายสมบัติ อามาตย์มนตรี เกษตรกรบ้านกุดเวียน ต.ท่าตูม อ.เมืองมหาสารคาม กล่าวว่า พื้นที่นากว่า 30 ไร่ของตนถูกน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา ทำให้นาข้าวได้รับความเสียหาย หลังน้ำลดเจ้าหน้าที่ชลประทานได้เข้ามาแนะนำการทำนา โดยการนำน้ำที่ค้างในทุ่งมาใช้ก่อนที่น้ำจะไหลลงสู่แม่น้ำชี ช่วยลดค่ากระแสไฟฟ้าสูบน้ำ รวมทั้งทำให้ราคาค่าจ้างไถถูกลง เพราะจ้างไถพรวนดินแค่รอบเดียวก็สามารถหว่านข้าวได้ นอกจากนี้ ยังประหยัดค่าปุ๋ยเพราะดินชุ่มชื่นอุดมสมบูรณ์ ช่วยลดต้นทุนการทำนาได้มากพอสมควร ซึ่งตนจะแนะนำให้เกษตรกรรายอื่นๆได้นำเอาไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนอีกด้วย