ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ความฝันคือความหวัง ทุกครั้งที่ฝันคือพลังที่ขับเคลื่อนและผลักดันชีวิต
อนงค์นาถฝันอยากเป็นพยาบาลมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่มาได้โอกาสเมื่อกระทรวงสาธารณสุขต้องการรับคนเข้ามาเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. กระนั้นกว่าจะมาถึงขั้นนั้นก็ต้องฝ่าฟันต่อสู้มาอย่างหนัก ในสังคมที่ยกย่องคนรวยและแข่งขันกันด้วยหน้าตา จนมาถึงวันนี้ของอนงค์นาถในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของชุมชนเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออก เธอก็ต้องแลกมาด้วยน้ำตาและกำลังแรงกายแรงใจที่มหาศาล แต่เธอก็ยังไม่หยุดฝัน จนคนหาว่าเธอเป็นบ้าเพราะฝันว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี
ผมรู้จักอนงค์นาถเมื่อปลายปี 2557 ในครั้งที่ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการตัดสินการประกวด “หมู่บ้านดีเด่นระดับเขต” อันเป็นโครงการของกระทรวงมหาดไทยในการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นักปกครองท้องที่ เริ่มจากการประกวดในระดับจังหวัดให้เหลือจังหวัดละ 2 หมู่บ้าน ที่ทางแต่ละจังหวัดตั้งกรรมการขึ้นมาคัดเลือกในแต่ละจังหวัดเอง จากนั้นไปประกวดในระดับเขต โดยแบ่งตามเขตการตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งทั่วประเทศมี 18 เขต จากนั้นเลือกเอาหมู่บ้านที่ดีเด่นในแต่ละเขต ๆ ละ 2 หมู่บ้านไปประกวดในระดับประเทศ ที่จะมีคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งร่วมพิจารณา
อนงค์นาถเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ชนะเลือกตั้งเข้ามา เธอเอาชนะอดีตผู้ใหญ่บ้านที่เป็นผู้ชายและมีอิทธิพลคับหมู่บ้านมาอย่างยาวนานด้วยคะแนนขาดลอย การบริหารหมู่บ้านในรูปแบบคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ที่เธอทำมาตั้งแต่รับตำแหน่งนี้เมื่อ 5 ปีก่อน ได้รับคำชมเชยว่าเป็น “ต้นแบบ” ของระบบการบริหารที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล” คือมีความโปร่งใส ยึดหลักกฎหมาย ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ จนทำให้ได้รับการคัดเลือกเข้ามาในระดับจังหวัด ซึ่งเมื่อคณะกรรมการระดับเขตที่มีผมเป็นกรรมการอยู่ด้วย ก็ได้ให้คะแนนหมู่บ้านของเธอเป็นอันดับหนึ่งในระดับเขต แต่เมื่อไปถึงระดับประเทศที่มีหมู่บ้านอื่น ๆ อีก 34 หมู่บ้าน จาก 17 เขต หมู่บ้านของเธอก็ได้แค่รางวัลชมเชย ซึ่งเธอก็พอใจและส่งข่าวบอกผมว่า ปีหน้าจะสู้ใหม่ ซึ่งผมก็บอกว่าคงจะไม่ได้ไปตรวจเขตเดิมอีก แต่ก็ทราบว่าในปีต่อมาเธอได้รองชนะเลิศของประเทศ จากนั้นก็ไม่ได้ข่าวเธออีก
จนเมื่อสามปีก่อน เธอได้เข้ามาเรียนหลักสูตรการบริหารการปกครองท้องที่ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “โครงการกำนันผู้ใหญ่บ้าน” เพราะเป็นหลักสูตรในโครงการความร่วมมือระหว่างกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่ต้องการจะให้นักปกครองท้องที่ คือตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงมาถึงสารวัตรกำนันและ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้พัฒนาศักยภาพของเขา ด้วยการเพิ่มพูนคุณวุฒิให้ได้ถึงระดับปริญญาตรี ซึ่งได้จัดหลักสูตรนี้ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมากว่าสิบปีนี้ มีนักปกครองท้องที่จบไปแล้วนับพันคน และอนงค์นาถก็ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้ด้วยอีกคนหนึ่ง เพราะเป็นหลักสูตรที่กรมการปกครองออกค่าเรียนให้ผู้เรียน 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์นั้นผู้เรียนออกเองเพิ่มเติม
ผมเป็นอาจารย์ผู้สอนของหลักสูตรนี้อยู่หลายวิชา วิธีการสอนในหลักสูตรสำหรับกำนันผู้ใหญ่บ้านนี้จะเข้มข้นกว่าหลักสูตรปกติของมหาวิทยาลัย คือหลักสูตรปกติจะเน้นการสอนทางไกลเป็นหลัก จะมีการสอนที่ต้องออกไปพบนักศึกษาที่เรียกว่าการสอนเสริมบ้างก็บางวิชา และมีสอนเป็นบางจังหวัด นักศึกษาที่อยากเรียนสอนเสริมต้องขวนขวายเดินทางไปหาเรียนเองในจังหวัดที่มีเปิดสอน แม้ว่าทุกวิชานั้นจะมีการสอนออนไลน์ นักศึกษาก็ชอบที่จะมารับการสอนแบบเผชิญหน้านั้นมากกว่า ส่วนหลักสูตรกำนันผู้ใหญ่บ้านจะใช้การสอนแบบเผชิญหน้าเป็นหลัก คือในแต่ละปีจะมีการจัดนักศึกษาที่เป็นนักปกครองท้องที่เหล่านั้นมาเรียนร่วมกันเป็นกลุ่ม ๆ แล้วให้ไปเรียนร่วมกันในจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละกลุ่มจังหวัดเหล่านั้น โดยทางมหาวิทยาลัยจะส่งอาจารย์กระจายกันออกไปสอนในแต่ละกลุ่มจังหวัด ซึ่งในปีนั้นผมได้ออกไปสอนที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และก็ได้พบกับอนงค์นาถที่มาเรียนวิชาของผมในปีนั้น
การสอนแต่ละวิชาในแต่ละภาคการศึกษา อาจารย์ผู้สอนต้องออกไปสอน 3 ครั้ง ๆ ละ 2 วัน ดังนั้นภาคการศึกษาหนึ่งจะมีระยะ 3 เดือน ถ้าอาจารย์คนไหนสอนวิชาเดียวก็จะต้องออกไปสอนทุกเดือน ๆ ละครั้ง ส่วนผมแต่ละเทอมต้องสอน 2 - 3 วิชา จึงเรียกได้ว่าในแต่ละเดือนนั้นต้องออกสอนเกือบทุกสัปดาห์ ผมจึงเลือกสอนใกล้ ๆ กรุงเทพฯ ในแต่ละวิชานั้น เพื่อไม่ให้เหนื่อยมากจนเกินไป และในคราวที่ไปสอนในจังหวัดฉะเชิงเทรา ผมก็โชคดีที่ได้เจอกับอนงค์นาถ เพราะอนงค์นาถให้การต้อนรับดูแลเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ให้ไปพักที่โฮมสเตย์ของเธอเองที่อยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ได้ทั้งบรรยากาศและประหยัดค่าใช้จ่าย แม้ว่าตอนแรกอนงค์นาถจะไม่รับเงิน แต่ผมก็ขอร้องให้รับไว้ในราคาที่เท่ากับผู้เข้าพักคนอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นเงินเพียงห้าร้อยกว่าบาท รวมค่าอาหารเย็นและเช้า นับว่าสะดวกและประหยัดได้มาก
บรรยากาศริมแม่น้ำบางปะกงบนเรือนไม้โฮมสเตย์ของอนงค์นาถ อาจจะไม่หรูหราเหมือนรีสอร์ตอื่น ๆ ในบริเวณใกล้ ๆ กัน แต่ด้วยอาหารที่ปรุงอย่างสุดฝีมือของอนงค์นาถในทุกเช้า ทำให้ผู้ไปพักที่รวมถึงผมด้วยนั้นได้รับความสุขจากการรับประทานเป็นที่สุด อาหารง่าย ๆ จำพวกน้ำพริกตาแดง น้ำพริกกากหมู จิ้มผักต้ม ปลาทะเลทอด แกงคั่ว แกงส้ม ก็ใส่ปลาทะเลอีกเช่นกัน เพราะมีท่าเรือที่จะออกไปจับปลาที่ทะเลอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร ขนมก็มีลูกจากสด ๆ ที่คนทั่วไปเรียกว่าลูกชิด เพราะเป็นบริเวณน้ำกร่อย ลูกจากนั้นคนแถวนั่นเอามาโรยน้ำแข็งทุบแล้วโรยน้ำตาลกรวดให้ละลายจาง ๆ ก็อร่อยเลิศล้ำ รวมถึงขนมจากที่หอมกรุ่นใหม่สดจากเตาปิ้ง ใส่มะพร้าวอ่อนกับเผือก อร่อยแปลกกว่าของที่เขาทำขายกันทั่วไป มื้อเช้านั้นอนงค์นาถทำข้าวต้มกุ้งบ้าง ปลากะพงบ้าง ที่เธอก็ทำแปลกกว่าที่อื่น ที่เขาใช้น้ำต้มกระดูกหมูบ้าง กระดูกไก่บ้าง มาทำเป็นน้ำซุบข้าวต้ม แต่ที่อนงค์นาถทำถ้าเป็นข้าวต้มกุ้ง เธอก็จะใช้เปลือกกุ้งหัวกุ้งที่เด็ดเอาไส้และขี้กุ้งที่หัวนั้นออกไป แล้ว ต้มกับมันกุ้งที่เหลือจนมันย่องไปทั้งหม้อ เอามาเป็นน้ำซุปใส่ข้าวต้ม เช่นเดียวกับข้าวต้มปลากะพงที่ใช้กระดูกทั้งตัวมาต้มเป็นน้ำซุบเช่นกัน เรียกได้ได้สูตรอาหารตำรับสุดยอดหลายอย่างเลยทีเดียว
การได้ไปพักที่โฮมสเตย์และรับประทานอาหารฝีมืออนงค์นาถในทุกครั้งที่ไปสอนนักศึกษากลุ่มจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งผมต้องไปสอนทั้งสองภาคการศึกษาของปีนั้น ทำให้ได้คุยกับเธออย่างละเอียดลึกซึ้ง เพราะเธอได้มาทำกับข้าวให้รับประทานทั้งมื้อเช้ามื้อเย็น ในมื้อเย็นก็อยู่คุยเป็นเพื่อน ร่วมกับเพื่อนนักศึกษาบางคนที่ขี้เกียจขับรถไปกลับ แม้จะอยู่จังหวัดใกล้ ๆ ก็มาพักที่นี่ ซึ่งอาจจะเป็นด้วยอัธยาศัยไมตรีและฝีมือการทำอาหารของอนงค์นาถนั่นเอง
เรื่องที่คุยกับอนงค์นาถอาจจะไม่ตื่นเต้นโลดโผน แต่ก็ให้ “สะดุดความคิด” ที่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ จะคิดได้ “ล้ำลึก” ถึงขนาดนั้น