วันที่ 1 ธ.ค. 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยช่วงหนึ่ง ถึงผลการดำเนินงานการรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1-30 พ.ย.64 โดยผู้เดินทางแบบ Test&Go , Sandbox และ Quarantine รวมมีการเดินทางเข้ามาทั้งหมด 133,061 ราย พบว่า มีติดเชื้ออยู่ 171 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะอยู่ใน Test&Go แต่หากเทียบเปอร์เซ็นต์แล้ว คนที่มาเที่ยวใน Test&Go เยอะมาก เป็นแสนกว่าคน แต่ติดเชื้อแค่ 83 คิดเป็น 0.08% ส่วน Sandbox ติดเชื้อ 0.21% และ Quarantine ติดเชื้ออยู่ที่ 0.81% รวมแล้ว 171 รายคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 0.13 % เท่านั้น เพราะฉะนั้นคุ้มค่ามากที่เราจะให้มาตรการนี้คงต่อไป และให้มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อนำเม็ดเงินต่างๆมาเที่ยวในช่วงของไฮซีซั่น ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเรื่องของโอไมครอนเข้ามาก็ต้องมีมาตรการที่เน้นย้ำ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ได้เห็นชอบร่วมกันว่าเราจะต้องเข้มเหมือนเดิม จากที่เคยผ่อนคลายมาเป็นการตรวจโดย ATK ก็ต้องกลับไปปรับระดับเท่าเดิม คือ เป็นการตรวจแบบ RT-PCR ซึ่งเป็นการตรวจที่ใช้มาตรฐานที่สูงที่สุดเท่าที่เราจะควบคุมโรคได้
สำหรับประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา จำนวน 14,730 คน ,เยอรมนี จำนวน 12,099 คน , เนเธอร์แลนด์ จำนวน 8,478 คน , สหราชอาณาจักร จำนวน 6,701 คน , รัสเซีย จำนวน 5,307 คน , ญี่ปุ่น จำนวน 5,146 คน , ฝรั่งเศส จำนวน 5,003 คน และเกาหลีใต้ จำนวน 4,741 คน ซึ่งเราต้องมาให้ความสำคัญของแต่ละประเทศเพราะเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน เข้ามาทางแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศเหล่านี้ที่เข้ามาในประเทศไทย ยังไม่มีรายงานว่ามีคนที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามโลกขณะนี้มันเป็นโกบอล คนอาจจะเดินทางไปไหนมาไหน จากประเทศโน้นไปประเทศนี้ได้ง่าย จึงเป็นความสำคัญของมาตรการที่เราต้องดำเนินการ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ทางกรมควบคุมโรคได้รายงานถึงอัตราการติดเชื้อของประเทศเหล่านี้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย พบว่า ทุกประเทศการติดเชื้อไม่ถึง 1% เพราะเรามีมาตรการที่ต้องตรวจอย่างเข้มข้น แต่เชื้อเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเราตรวจไม่เจอแล้วจะปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามาได้ เรามีระบบการตรวจอีกหลายขั้นตอน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศไทย จาก 8 ประเทศดังกล่าวนั้น ตั้งแต่วันที่ 15-27 พ.ย. มีผู้เดินทางเข้ามาทั้งสิ้น 333 ราย ออกนอกประเทศแล้ว 3 ราย คงเหลือในประเทศ 330 ราย สามารถติดตามตัวได้แล้ว 23 ราย ขณะนี้ได้มีการสั่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ (เอสเอ็มเอส) ให้บุคคลเหล่านี้เข้าตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR โดยเร็วที่สุด ไม่เสียค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลของรัฐ และปฏิบัติตามควบคุมโควิดอย่างเข้มงวด หากสงสัยให้โทรศัพท์สอบถามหมายเลข 1422 ซึ่งหากใครไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ถือว่าละเมิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ที่เดินทางมาจาก 8 ประเทศนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ ให้คุมตัวในที่พักไว้สังเกตการณ์เป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อ สำหรับรูปแบบการกักตัวนั้นจะต้องกักตัวจนครบ 14 วันและตรวจหาเชื้อ ส่วนกรณีผู้ที่ออกจากสถานกักตัวแล้ว แต่ไม่ครบ 14 วันตามมาตรการลดการกักตัวก่อนหน้านี้ ให้คุมตัวในที่พักให้ครบ 14 วันแล้วตรวจหาเชื้อ ส่วนกรณีเดินทางถึงไทยตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. ทั้งรูปแบบแซนด์บ็อกซ์และกักตัว ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.เป็นต้นไปจะไม่อนุญาตให้คนจาก 8 ประเทศเหล่านี้เดินทางเข้าไทย ยกเว้นผู้มีสัญชาติไทย
สำหรับผู้มีสัญชาติไทยที่เดินทางจาก 8 ประเทศ เข้ามาในราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 15 -27 พ.ย. แต่ไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายในการกักตัวเองได้ ให้โรงแรมที่กักตัวประสานเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเพื่อประสานมายังกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค กรมควบคุมโรค เพื่อนำเข้ากักตัวต่อในสถานกักกันของสถาบันบำราศนราดูรต่อไป
“สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศและติดตามคนต่างชาติที่มาจากพื้นที่ที่ความเสี่ยงสูงจากสายพันธุ์โอไมครอน ที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนหน้านี้ 100 กว่าคน ให้มาตรวจด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนในประเทศ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว