เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 พ.ย.64 ที่ศาลจังหวัดกระบี่ ศาลชั้นต้น นัดโจทก์ และ จำเลย ฟังคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.745/61 หมายเลขคดีแดงที่ พ.623/64 ระหว่างนายจรัส วะจิดี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชจำเลยที่ 1 นายสัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำเลยที่ 2 นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา- หมู่เกาะพีพี จำเลยที่ 3 ในข้อหาละเมิดต่อทรัพย์สิน
โดยโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายหมาด วะจิดี นายหมาดเป็นบุตรของนางเสี้ย ซึ่งเป็นย่าของโจทก์ ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิ์ครอบครองที่ดินพิพาทบนเกาะปอดะในเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ เดิมนางเสี้ย ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2491 ก่อนที่ทางราชการจะประกาศเป็นที่อุทยานแห่งชาติ ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 จำเลยที่ 1 โดยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา เคยบุกรุกเข้าไปปรับพื้นที่เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง สค. 1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ บริเวณด้านทิศเหนือภายในสวนมะพร้าวเนื้อที่ประมาณ 168 ตารางเมตร อั้นเป็นการกระทำละเมิดต่อนายหมาด ซึ่งนายหมาด มีหนังสือขอหยุดบุกรุก หัวหน้าอุทยานฯได้รับหนังสือแล้ว ได้หยุดทำการบุกรุกทันที จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 นายหมาดถึงแก่กรรมโดยได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง สค. 1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนาง เนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ ให้แก่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์
และเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2561 จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอาคารสำนักงานเนื้อที่ 168 ตารางเมตร ตัดต้นมะพร้าว 1 ต้น ก่อสร้างห้องน้ำชั่วคราว เนื้อที่ 99 ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง สค.1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ของโจทก์โจทก์มีหนังสือขอให้หยุดจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉยการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำละเมิดต่อทรัพย์สินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามหรือถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง สค 1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองจังหวัดกระบี่ ของโจทก์ ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 864354.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอัตราเดือนละ 1 แสนบาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะหยุดการบุกรุกที่ดินของโจทก์และรื้อถอนอาคารสำนักงานออกจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและขอให้ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายอัตราเดือนละ 80,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะหยุดการบุกรุกที่ดินของโจทก์และรื้อถอนอาคารสำนักงานออกจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและรื้อถอนห้องน้ำชั่วคราวออกจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยเบื้องต้นศาลรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องให้จำหน่ายคดี
ศาลจังหวัดกระบี่ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เคยฟ้องนายชวน ภูเก้าล้วน เป็นคดีแพ่งขอให้เพิกถอนการออก นส 3 ก เลขที่ 750 และมาตรา 757 ถึง 759 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ รวม 4 แปลง อ้างว่าซื้อมาจากนายม่าโหรบ ชำนินา และนายอนันต์ ห่อทอง เมื่อปี 2528 ขณะนายชวนซื้อนั้นมีหลักฐาน นส. 3 ก.แล้วโดยนายม่าโหรบ ใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน สค 1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนาง ไปขอเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว คดีดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอน นส. 3 ก.ทั้ง 4 ฉบับและขับไล่นายชวนและบริวารตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11431- 11432/2554
โจทก์กล่าวบรรยายในคำฟ้องอ้างว่าโจทก์ครอบครองต่อมาจากบิดาและนางเสียนั้นย่อมไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะปอดะด้วยเช่นกันเมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทที่นายชวนอ้างสิทธิ์ครอบครองทั้งสองส่วนคือส่วนที่อ้างว่าซื้อมาจากนายม่าโหรบ และนายอนันต์เมื่อปี 2528 ซึ่งเป็นส่วนที่อ้างว่าเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน สค 1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 3 และส่วนที่อ้างว่าซื้อมาจากนายย้อยนายสมานและนายลุ้ย เมื่อปี 2529 ซึ่งเป็นส่วนที่อ้างว่าเป็นที่ดินทำแบบการครอบครองที่ดินสค 1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 อีกส่วนหนึ่งล้วนแต่มีคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่านายชวนไม่มีสิทธิ์ครอบครองในที่ดินพิพาทผลของคำพิพากษาดังกล่าวนอกจากจะผูกพันนายชวนและจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความโดยตรงแล้วยังใช้ยันโจทก์และบุคคลภายนอกได้อีกด้วยเนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใดๆซึ่งเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วตาม ปวิพ. มาตรา 145 วรรค 2
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีกับนายชวนเมื่อปี 2546 ขอให้เพิกถอน นส 3 ก จำนวน 4 แปลงข้างต้นซึ่งออกมาจากสค 1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนางเมื่อนายชวนแพ้คดีและคดีถึงที่สุดแล้วขณะที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการบังคับคดีตามผลคำพิพากษาศาลฎีกาปรากฏว่านายชวน บุกรุกที่ดินใกล้เคียงในเขตอุทยานในส่วนอื่นๆอีกด้วยจำเลยที่ 1 จึงแจ้งความร้องทุกข์นายชวนในปี 2560 ตามพรบ.ป่าไม้และพรบ.อุทยานรวม 2 คดีเนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 93 ตารางวาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทในคดีนี้คือที่ดินส่วนทิศเหนือที่นายชวนอ้างว่าซื้อมาจากนางเสี้ย นายย้อย นายสมานและนายลุ้ย และเหล็ม ก็ไม่เคยปรากฏว่านายหมาด วะจิดี บิดาโจทก์เคยคัดค้านหรือใช้สิทธิ์ทางศาลเพื่อขอให้บังคับหรือรับรองสิทธิ์เกี่ยวกับการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้างว่าครอบครองมาโดยตลอดแต่อย่างใดการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิ์ไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 พิพากษายกฟ้อง
ศาลจังหวัดกระบี่ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เคยฟ้องนายชวน ภูเก้าล้วน เป็นคดีแพ่งขอให้เพิกถอนการออก นส 3 ก เลขที่ 750 และมาตรา 757 ถึง 759 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ รวม 4 แปลง อ้างว่าซื้อมาจากนายม่าโหรบ ชำนินา และนายอนันต์ ห่อทอง เมื่อปี 2528 ขณะนายชวนซื้อนั้นมีหลักฐาน นส. 3 ก.แล้วโดยนายม่าโหรบ ใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน สค 1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนาง ไปขอเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว คดีดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอน นส. 3 ก.ทั้ง 4 ฉบับและขับไล่นายชวนและบริวารตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11431- 11432/2554
โจทก์กล่าวบรรยายในคำฟ้องอ้างว่าโจทก์ครอบครองต่อมาจากบิดาและนางเสียนั้นย่อมไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะปอดะด้วยเช่นกันเมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทที่นายชวนอ้างสิทธิ์ครอบครองทั้งสองส่วนคือส่วนที่อ้างว่าซื้อมาจากนายม่าโหรบ และนายอนันต์เมื่อปี 2528 ซึ่งเป็นส่วนที่อ้างว่าเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน สค 1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 3 และส่วนที่อ้างว่าซื้อมาจากนายย้อยนายสมานและนายลุ้ย เมื่อปี 2529 ซึ่งเป็นส่วนที่อ้างว่าเป็นที่ดินทำแบบการครอบครองที่ดินสค 1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 อีกส่วนหนึ่งล้วนแต่มีคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่านายชวนไม่มีสิทธิ์ครอบครองในที่ดินพิพาทผลของคำพิพากษาดังกล่าวนอกจากจะผูกพันนายชวนและจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความโดยตรงแล้วยังใช้ยันโจทก์และบุคคลภายนอกได้อีกด้วยเนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใดๆซึ่งเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วตาม ปวิพ. มาตรา 145 วรรค 2
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีกับนายชวนเมื่อปี 2546 ขอให้เพิกถอน นส 3 ก จำนวน 4 แปลงข้างต้นซึ่งออกมาจากสค 1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนางเมื่อนายชวนแพ้คดีและคดีถึงที่สุดแล้วขณะที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการบังคับคดีตามผลคำพิพากษาศาลฎีกาปรากฏว่านายชวน บุกรุกที่ดินใกล้เคียงในเขตอุทยานในส่วนอื่นๆอีกด้วยจำเลยที่ 1 จึงแจ้งความร้องทุกข์นายชวนในปี 2560 ตามพรบ.ป่าไม้และพรบ.อุทยานรวม 2 คดีเนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 93 ตารางวาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทในคดีนี้คือที่ดินส่วนทิศเหนือที่นายชวนอ้างว่าซื้อมาจากนางเสี้ย นายย้อย นายสมานและนายลุ้ย และเหล็ม ก็ไม่เคยปรากฏว่านายหมาด วะจิดี บิดาโจทก์เคยคัดค้านหรือใช้สิทธิ์ทางศาลเพื่อขอให้บังคับหรือรับรองสิทธิ์เกี่ยวกับการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้างว่าครอบครองมาโดยตลอดแต่อย่างใดการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิ์ไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 พิพากษายกฟ้อง