ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ตำรวจถูกมองเป็นยักษ์เป็นมารก็ด้วยการเบ่งอำนาจออกไปเองจนน่ากลัว พิชิตมาร่วมประชุมกับคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจทุกครั้ง ในฐานะทีมงานของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมายให้มาร่วมประชุมเป็นตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยใช้ห้องประชุมของกระทรวงยุติธรรม ที่ในตอนนั้นยังเช่าพื้นที่ทำงานอยู่ที่อาคารของเอกชนตรงถนนแจ้งวัฒนะ คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจชุดนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ” ทั้งนี้ก็เพราะว่ารัฐบาลที่นำโดยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องการที่จะให้จัดการกับปัญหาของกรมตำรวจในหลาย ๆ ระบบ แยกส่วนกันออกไปในแต่ละระบบ เพื่อให้การปฏิรูปสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว โดยมีพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธานคณะกรรมการ และมีคณะอนุกรรมการแบ่งออกไปในแต่ละระบบงาน ได้แก่ ระบบโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบการแต่งตั้งโยกย้าย ระบบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ และระบบสวัสดิการ โดยมีการรีบเร่งทำงานกันอย่างหนัก ผมเองเป็นเลขานุการอยู่ในคณะทำงานด้านการรับฟังความคิดเห็น ของอนุกรรมการโครงสร้างฯ ได้ออกไปจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในหมู่ประชาชนและตำรวจอยู่หลายครั้ง โดยพิชิตได้เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดประชุมข้าราชการตำรวจให้ในทุกครั้ง เราเริ่มทำงานในเดือนมกราคม 2550 และสามารถจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมาได้ทั้งฉบับและนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ในเดือนกันยายนปลายปีนั้น โดยมีการนำแนวคิดในการพัฒนาระบบงานตำรวจในส่วนต่าง ๆ ที่คณะอนุกรรมการทุกชุดได้นำมาผสานเข้าด้วยกัน จนอาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าหากมีการปฏิรูปตามแนวคิดเหล่านี้แล้ว ตำรวจไทยต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ต้องการจะทำให้เกิดขึ้นกับตำรวจให้ได้ก็คือ การสร้างภาพลักษณ์ของตำรวจให้ดีขึ้น จากภาพของยักษ์มารที่ประชาชนเกรงกลัว ไปสู่ตำรวจของประชาชนผู้เป็นที่พึ่งอย่างใกล้ชิดของประชาชนได้อย่างเต็มตัว สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นในวาระที่ 1 แล้วให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาในวาระที่ 2 ระหว่างนั้นก็มีกระบวนการ “ตำรวจเก่า” นำโดยอดีตอธิบดีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบางคน อ้างว่าเป็นตัวแทนของตำรวจทั้งประเทศ ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการให้มีการจัดทำการรับฟังความเห็นจากประชาชนและตำรวจเสียใหม่ ทำให้การพิจารณาของคณะกรรมาธิการต้องล่าช้าออกไป จนถึงเดือนธันวาคม 2550 ก็มีเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรและมีรัฐบาลชุดใหม่ และในเดือนมีนาคม 2551 สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็หมดหน้าที่ไป แต่รัฐบาลใหม่ที่นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช ก็ไม่ได้ผลักดันให้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจฉบับนั้นต่อไปแต่อย่างใด ว่ากันว่าสาเหตุที่เหล่าตำรวจใหญ่ ๆ ทั้งหลายไม่พอใจและพยายามล้มร่างพระราชบัญญัติตำรวจฉบับนั้น ก็เป็นเพราะว่าร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังไป “ทุบหม้อข้าว” ของตำรวจ โดยให้นายตำรวจในส่วนกลางมีอำนาจลดลง แต่ไปเพิ่มอำนาจให้ตำรวจในพื้นที่ ที่หมายถึงตำรวจภูธรและหน่วยงานตำรวจต่าง ๆ ในส่วนกลาง ที่แต่ก่อนการพิจารณาความดีความชอบต้องขึ้นอยู่กับ “ส่วนหัว” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ปทุมวันเท่านั้น จะได้มีอิสระมากขึ้นการพิจารณาความดีความชอบให้กับตำรวจในหน่วยงานและพื้นที่ของตนเอง ทั้งนี้โดยมีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะเข้าควบคุมและตรวจสอบการแต่งตั้งโยกย้ายของตำรวจได้อีกด้วย ภายใต้ระบบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่นำแบบอย่างมาจากประเทศที่พัฒนาแล้วมาใช้ โดยพิชิตได้พูดติดตลกกับผมในวันหนึ่งหลังจากที่ได้มาเจอกันในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจชุดใหม่ ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตอนปลายปี 2552 ว่า ถ้ากฎหมายฉบับนั้นผ่านสภาออกมาได้ ตำรวจก็ไม่ได้ “นอนนับแบงก์” อีกต่อไป ในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ พ.ศ. 2552 ได้ลดขนาดของการปฏิรูปลงไปมาก โดยเหตุที่รัฐบาลชุดใหม่ก็ยังใช้บริการของพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจที่ “มือสะอาดมากๆ” คนหนึ่ง แต่ท่านก็คงมีบทเรียนจากคณะกรรมการปฏิรูปใน พ.ศ. 2550 นั้นมาแล้ว ว่าถ้าคิดอะไรที่ใหญ่มาก ๆ ก็จะไปกระทบผลประโยชน์ของนายตำรวจทั้งหลายมาก ๆ ยิ่งขึ้นไปด้วย จึงเริ่มต้นจากบางเรื่องในการแก้ไขปัญหาของข้าราชการตำรวจ นั่นก็คือเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้าย ก็พอดีกันกับที่มีเรื่องร้องเรียนจากตำรวจจำนวนมากมาที่รัฐบาล ว่ามีการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม คณะกรรมการชุดนั้นจึงเริ่มจากการสอบสวนถึงความไม่เป็นธรรมดังกล่าว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากท่านผู้บัญชาการตำรวจในสมัยนั้น คือพลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นอย่างดีและอีกท่านหนึ่งที่ทำงานเรื่องการสอบสวนนี้อย่างหนัก ก็คือนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย ที่ร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย ที่ได้นำประสบการณ์ด้านกฎหมายที่ใกล้ชิดทั้งกับประชาชนและตำรวจ มาช่วยให้การทำงานของคณะกรรมการได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ จนสามารถจัดทำเป็นแนวคิดและวิธีการในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น ที่สำคัญคือ “ดีขึ้น” เพราะใช้ระบบอาวุโสเป็นหลัก จากเดิมที่มีการข้ามหัวกันอย่างน่าสังเวชภายใต้ระบบเส้นสายที่เละเทะมานานนั้น และเพื่อให้สะดวกแก่การบังคับใช้ได้โดยเร็ว ก็ให้จัดทำเป็นประกาศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบังคับใช้ในกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในปี 2553 นั้นในทันที ซึ่งก็ได้รับการยอมรับกันด้วยดี แม้ว่าจะยังมีการข้ามหัวข้ามรุ่นอยู่บ้างแต่ก็น้อยลงมาก ในปี 2553 นั้นพิชิตก็ได้เป็นนายพลตำรวจด้วยคนหนึ่ง เขาเอาภาพถ่ายที่เข้ารับพระราชทานยศพลตำรวจตรีมาให้ผมดู เพราะผมเคยพูดว่าผมอยากเห็น ด้วยคิดว่าพิชิตจะต้องมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พิชิตเล่าให้ฟังว่า ในวันที่จะต้องเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแตะพระขรรค์กระบี่ที่ไหล่นั้น เขานอนไม่หลับทั้งสัปดาห์ เฝ้าฝึกซ้อมและกำหนดกิริยาอาการต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง แบบที่เรียกว่าถึงขั้น “เกร็ง” แต่เมื่อถึงวันนั้นจริง ๆ เขากลับรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนได้รับพระบารมีให้ชื่นใจ สมกับที่เขาตั้งใจจะเป็นตำรวจที่ดีใต้เบื้องพระยุคลบาท เขานำภาพนี้ไปให้พ่อและแม่ที่ต่างจังหวัดนั้นด้วย พ่อซึ่งตอนนั้นต้องเรียกว่า “หลวงพ่อ” เพราะได้ไปบวชเป็นพระภิกษุ ดีใจจนน้ำตาซึมออกมา ด้วยหวังที่จะเห็นลูกชายนี้เจริญก้าวหน้าในอาชีพตำรวจมาโดยตลอด ผมได้แต่ติดตามข่าวของพิชิตผ่านข่าวสารทั่วไป เขาทำหน้าที่ได้ดีจนกระทั่งเกษียณอายุในปี 2558 ทุกวันนี้ในยุคดิจิตอล ผมก็ได้แต่คาดหวังว่าตำรวจไทยน่าจะปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่นี้ได้บ้าง โดยเฉพาะตำรวจควรจะระมัดระวังในการทำงานกับผู้คน เพราะด้วยเทคโนโลยี “ตาสัปปะรด” ในสมัยนี้ ตำรวจก็น่าที่จะกอบโกยโกงกินน้อยลง ที่สำคัญคือลดภัยคุกคามที่เคยทำกับประชาชนนั้นให้น้อยลงด้วย พุทธศาสนาบอกว่า “คนเรายิ่งทำตัวให้ใหญ่มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งจะต้องรับทุกข์มากขึ้นตามนั้น” ดังเช่นบางหน่วยงานที่ถูกประชาชนตำหนิมาก ก็เพราะทำตัว “ใหญ่มาก” นั่นเอง