บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 มียอดขายรวม 42,483 ล้านบาท ยอดขายลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายเพิ่มขึ้น 15.0% กำไรจากการดำเนินงาน 2,759 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% และกำไรสุทธิรวม 2,804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115.9% นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 173 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 181 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 พบ บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 118 บริษัท คิดเป็น 68% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด โดยผลประกอบการ บจ. mai ไตรมาส 3 ปี 2564 เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 มียอดขายรวม 42,483 ล้านบาท ลดลง 1.6% ต้นทุนรวม 32,903 ล้านบาท ลดลง 1.5% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.6% เป็น 22.5% กำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) 2,759 ล้านบาท ลดลง 2.5% ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจาก 6.6% เป็น 6.5% ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2,804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.3% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 3.8% เป็น 6.4% ซึ่งมีผลจากรายการพิเศษของบางบริษัท อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน พบว่ามียอดขายรวม 121,966 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 7,765 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,430 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12.0%, 50.6% และ 463.5% ตามลำดับ “ไตรมาส 3 ปี 2564 ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังลดลง แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาสจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ประกอบกับ บจ. สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้งวด 9 เดือนแรก ปี 2564 ภาพรวม บจ. ใน mai มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรก คือ สินค้าอุปโภคบริโภค จากกลุ่มธุรกิจเครื่องมือแพทย์ รองลงมา คือ ธุรกิจการเงิน และทรัพยากร” ทั้งนี้ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 273,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากสิ้นปี 2563 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 1.08 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2563 ที่เท่ากับ 1.11 เท่า ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 181 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 561.94 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 447,372.01 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,345.90 ล้านบาทต่อวัน