การรณรงค์ของ NGOs ที่ต้องการพิทักษ์สัตว์ให้มีสวัสดิภาพที่ดี น่าจะมีคนสนับสนุนไม่น้อย หากตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่หลายครั้งการเชิญชวนให้คนตระหนักถึงสวัสดิภาพสัตว์ กลับกลายเป็นการชวนให้เลิกกินเนื้อสัตว์ และหยิบยกเหตุผลเกินจริงมากล่าวอ้าง ซึ่งบางอย่างก็ขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ บางข้อก็เป็นการเรียกร้องแบบสุดโต่งจนขัดหลักเศรษฐศาสตร์ และอาจทำให้เป้าประสงค์ของโครงการผิดเพี้ยนไปจากที่ควร ดังเช่นเมื่อไม่นานมานี้ มีการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ผ่านแอพพลิเคชั่นยอดฮิต ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้ฟังหลายประการ อาทิ
ประการแรก : ประเทศไทยใช้ไก่สายพันธุ์โตเร็ว แม้ไม่มีการใช้ฮอร์โมน แต่มีการดำเนินการตัดต่อพันธุกรรมแทน ทำให้ไก่เติบโตเร็วขึ้น
ข้อเท็จจริง : ข้อกล่าวหานี้เป็นความคิดที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เพราะอุตสาหกรรมไก่ของไทยไม่มีการใช้ฮอร์โมนเร่งโต และการที่ไก่เติบโตได้ดี ไม่ใช่เพราะการตัดต่อพันธุกรรม (Genetically Modified Organism) แต่เป็นการใช้วิทยาศาสตร์ด้านการปรับปรุงพันธุ์ (Breeding) ธรรมดาๆ เป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ที่แข็งแรงและโดดเด่นในด้านที่ต้องการมาผสมข้ามสายพันธุ์กัน ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะได้สายพันธุ์ที่ดีและเหมาะสม เพื่อสามารถเลี้ยงให้เป็นอาหารโปรตีนเนื้อขาวป้อนประชากรโลกได้อย่างเพียงพอ ผนวกกับการพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ อาหารส้ตว์ที่ดี มีระบบป้องกันโรคที่เข้มข้น ทั้งหมดนี้ต่างหากที่ทำให้ไก่โตเร็ว ไม่ใช่การตัดแต่งพันธุกรรมอย่างที่กล่าวอ้าง
ประการที่สอง : การเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมมีการจำกัดสวัสดิภาพสัตว์ เช่น กรอฟันลูกหมู และ ตอนหมูเพศผู้
ข้อเท็จจริง : ข้อกล่าวหานี้ดูเหมือนผู้กล่าวจะมองเพียงมุมเดียว มิได้พิจารณาอย่างรอบคอบว่า เหตุผลใดที่ทำให้ต้องดำเนินการเช่นนั้น ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้มีสัตวแพทย์กำกับดูแล เพราะการกรอฟันลูกหมูก็เพื่อไม่ให้กัดหัวนมแม่หมู ซึ่งอาจทำให้แม่หมูบาดเจ็บ ขณะที่การตอนหมูเพศผู้ก็ช่วยลดกลิ่นสาปของเนื้อหมู และลดความก้าวร้าวของหมู สิ่งนี้ทำให้หมูเอเชียกับหมูอเมริกามีกลิ่นต่างกัน
ประการที่สาม : มีการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาไปยังสิ่งแวดล้อม
ข้อเท็จจริง : ภาคปศุสัตว์ในประเทศไทยมีการใช้ยาปฏิชีวนะน้อยลง ซึ่งวัดผลได้ง่ายและชัดเจนกว่าภาคสาธารณสุข ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการวางแนวทางและมาตรการในการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างอย่างเป็นระบบร่วมกัน ภายใต้หลักการ “สุขภาพหนึ่งเดียว (One Health Approach)” ประกอบด้วย สุขภาพคน สุขภาพสัตว์ และสิ่งแวดล้อม ปรากฏเป็น “แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560-2564” ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้สร้างกลไกการขับเคลื่อนงานด้านเชื้อดื้อยาที่สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ร่วมกับทุกภาคส่วน มีเป้าหมายสำคัญ คือลดการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ลง 30% ภายในปี 2564 และมีผลงานเชิงประจักษ์ที่ปี 2562 สามารถลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพได้มากกว่า 49%
ประการที่สี่ : การเลี้ยงสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ส่งผลทำให้เกิดโลกร้อน
ข้อเท็จจริง : ไม่ใช่เพียงการเลี้ยงสัตว์ แต่ทุกๆกิจกรรมของมนุษย์ล้วนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมดูจะเป็นตัวอย่างที่ดี ในความพยายามพัฒนาแนวทางการเลี้ยงสัตว์ที่ใช้ทรัพยากรอย่ามีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดปัญหาภาวะเรือนกระจก เช่น ระบบไบโอแก๊ส และ อาหารสัตว์รักษ์โลกที่ช่วยลดปริมาณมูลสุกร เป็นต้น
ประการที่ห้า : ร้านไก่ทอดชื่อดังเพิ่มเมนู Plant Base ดีแล้ว แต่ควรลดการขายเนื้อลงด้วย
ข้อเท็จจริง : ข้อนี้เป็นตัวอย่างของความคิดเห็นด้านเดียวที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อย่าลืมว่าธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งล้วนมีจุดเด่นของตนเอง ร้านขายไก่แต่มารณรงค์ให้ลดการขายเนื้อไก่ จึงดูเป็นการเรียกร้องที่เกินกว่าที่ควรจะเป็น และไม่เป็นเหตุเป็นผล
ประการที่หก : อาหารที่มีสวัสดิภาพสัตว์จะมีราคาสูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการควรแบกรับต้นทุนไว้เอง
ข้อเท็จจริง : ข้อนี้ผิดหลักเศรษฐศาสตร์อย่างรุนแรง ไม่มีผู้ประกอบการคนใดที่ยอมแบกรับต้นทุนเพื่อให้ผลประกอบการของตนแย่ลง ซึ่งนั่นหมายถึงธุรกิจของตนย่อมถดถอย และอาจต้องล้มพับกิจการไปในที่สุด ต้นทุนทั้งหมดผู้บริโภคปลายทางต้องเป็นผู้ยอมรับ ดังเช่น ผลิตภัณฑ์ไข่เคจฟรี ที่มีต้นทุนสูงกว่าไข่ปกติ จะมีผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่ยอมจ่ายเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ในรูปแบบปล่อยอิสระ เป็นต้น ต่อเมื่อวันใดที่ผู้บริโภคทั้งโลกหันมาบริโภคไข่ประเภทนี้ ระดับราคาจะลดลงเองตามกลไกตลาด
หนึ่งในแนวทางที่ผู้ฟังในวันนั้นได้ร่วมแสดงความคิดเห็น และมีความเป็นไปได้สูงคือคำแนะนำว่า ไม่ควรรณรงค์เรียกร้องให้ลดการกินเนื้อสัตว์ แต่ควรเน้นให้มีการติดฉลากบนผลิตภัณฑ์ว่า สินค้าใดได้รับมาตรฐาน Animal Welfare เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินใจเอง และพร้อมจะยอมรับระดับราคาที่สูงกว่าสินค้าทั่วไป เพราะเสรีภาพเป็นของผู้บริโภคทุกคน ไม่ควรต้องอยู่ภายใต้การชี้นำจากใคร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม (Conservative) หรือ กลุ่มหัวก้าวหน้า (Progressive)
การรักสัตว์เป็นสิ่งที่ดี การเลี้ยงดูสัตว์เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มี Animal Welfare จะส่งผลมาถึงอาหารที่ปลอดภัยต่อการบริโภคด้วย นับเป็นการสร้าง Well being ให้มนุษย์ การเรียกร้องสวัสดิภาพสัตว์จึงน่าจะมีผู้ที่เห็นด้วยและพร้อมจะสนับสนุนส่งเสริม แต่ทุกอย่างต้องมีคำว่า “สมดุล” คงไม่ใช่การคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์จนส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพมนุษย์ รักสัตว์จนทำให้เกษตรกรที่ไม่มีทุนต้องเลิกประกอบอาชีพการเลี้ยงสัตว์ จึงอยากให้การรณรงค์ในประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ อยู่บนสิ่งที่เป็นจริง มิใช่การให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียว เพื่อสร้างความตื่นกลัว จนทำให้ผู้รณรงค์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง คือสร้างความสมดุลของสวัสดิภาพสัตว์ และ Human Well being./
โดย น.สพ.ธีระ รักความสุข นายกสัตวแพทยสภา