จากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ของกลุ่มดุสิตธานีพบขาดทุนสุทธิ 302 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับทั้งไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 อยู่ที่ 896 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 2,618 ล้านบาท ซึ่ง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT สะท้อนว่า ธุรกิจโรงแรมดีขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่ทำให้อัตราการเข้าพักสูงขึ้น พร้อมรับอานิสงส์จากกลยุทธ์การปรับโครงสร้างทรัพย์สิน ส่งผลให้รับรู้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าปรับแผนธุรกิจ เน้นวางกลยุทธ์ระยะยาวปรับรูปแบบ Dusit Graciousness สอดรับเทรนด์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป
กลุ่มดุสิตธานีเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มดุสิตธานีในไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคมถึงกันยายน) ปี 2564 แม้บริษัทฯ จะยังมีผลขาดทุนสุทธิ แต่ก็ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีนี้ และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากธุรกิจโรงแรมที่กลับมากระเตื้อง หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น ประชากรทั่วโลกได้รับวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและกว้างขวางขึ้น พร้อมๆ กับการพัฒนายารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพขึ้น และการเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้มากขึ้น โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยได้เปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ เป็นโครงการนำร่อง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี จนกระทั่งสามารถเปิดประเทศได้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยของกลุ่มดุสิตธานีเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น มีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากการเปิดตัวโครงการภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญแล้ว ยังมีการเตรียมความพร้อมของโรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มีอัตราการเข้าพักที่โรงแรมสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จากภาครัฐในช่วงต้นเดือนกันยายน ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเดินทาง จนมีอัตราการเข้าพักของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน เริ่มดีขึ้น
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ในต่างประเทศไตรมาส 3 ปี 2564 ยังคงมีอัตราการเข้าพักที่สูงกว่าอัตราการเข้าพักธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ในประเทศไทย และยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงแรมดุสิตธานี มะนิลา โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ และโรงแรมอื่นๆ ที่บริษัทฯ รับจ้างบริหารในภูมิภาคตะวันออกกลาง
อีกทั้งผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ยังได้รับแรงสนับสนุนจากกลยุทธ์ปรับโครงสร้างทรัพย์สิน ส่งผลให้กลุ่มดุสิตธานีสามารถรับรู้รายได้และกำไรจากการขายโรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ ให้กับนักลงทุน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและยังทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมดังกล่าวต่อไปภายใต้แบรนด์ ดุสิตธานี อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 3 ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักของธุรกิจการศึกษาและธุรกิจอาหาร เนื่องจากผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราว เช่นเดียวกับธุรกิจอาหารที่ได้รับอนุญาติให้เปิดบริการตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงพฤติกรรมรับประทานอาหารที่บ้าน ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดหวังจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของทั้งสองธุรกิจในเร็วๆ นี้ หลังจากการเปิดประเทศ
ดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระวัง
พร้อมกันนี้ นางศุภจี กล่าวต่อว่า แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่บริษัทฯ ยังคงเกาะติดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มดุสิตธานีได้ดำเนินการนโยบายทางด้านการเงินอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด การลดสัดส่วนของต้นทุนและค่าใช้จ่ายคงที่ รวมถึงปรับแผนการลงทุนโดยชะลอการลงทุนใหม่ๆ ออกไป และการลดงบลงทุน รวมทั้งยังได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยมีแผนรับมือทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิเช่น การหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้ที่ไม่ใช่ห้องพัก การเร่งพัฒนาแหล่งกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพวิถีธรรมชาติ ด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับกิจกรรมที่หลากหลาย เรียนรู้วิถีการใช้ชีวิตแบบธรรมชาติควบคู่ไปกับการได้รับบริการที่สะดวกสบายและปลอดภัย เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง รวมถึงการปรับวิถีการให้บริการอันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มดุสิตธานี หรือ Dusit Graciousness
โดยให้ความสำคัญกับ 4 แกนหลัก คือ บริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า (Service) บริการที่ตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจ (Well-being) บริการที่เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชุมชนและคนรอบข้าง (Locality) และบริการที่ยั่งยืน ที่คำนึงถึงสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม (Sustainability) เพื่อรองรับกับเทรนด์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้กลุ่มดุสิตธานีสามารถสร้างการเติบโตไปกับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่จะเป็นเทรนด์หลักในอนาคต