ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล เมื่อเข้าตาจน พี่งตัวเองไม่ได้ ก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ “ผู้มีฤทธิ์” การถูกตั้งกรรมการสอบวินัย แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีผลในการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ทั้งยังมีการใช้เป็นเครื่องมือในการกำราบตำรวจที่หัวดื้อ ไม่ยอมศิโรราบหรือ “เป็นเมืองขึ้น” ของนายบางคนด้วย เพราะที่นายโกรธมาก ๆ ไม่ใช่ไม่เคารพหรือไปแตะต้อง “ลูกค้า” ของนาย แต่เป็นเพราะไม่ยอมที่จะรับใช้หรือ “จัดการทรัพย์สิน” ให้นายนั้นมากกว่า พิชิตเมื่อถูกตั้งกรรมการสอบวินัย ก็รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในอันตราย เขาไปปรึกษาเพื่อนและตำรวจรุ่นพี่ ได้คำตอบว่าอย่างนี้ต้อง “จิ้มก้อง” คือหาสิ่งของที่นายชอบไปเป็นบรรณาการเพื่อขอขมา มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่านายชอบพระเครื่อง ตอนนี้นายกำลังสะสมหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ที่จังหวัดพิจิตร เขาจึงไปหาญาติที่เป็นเซียนพระให้ช่วยในเรื่องนี้ ที่สุดเขาก็ได้มาหนึ่งองค์ ญาติบอกว่าเป็นรุ่นที่นิยมและหายาก แต่มูลค่าสูงเป็นเลขหกหลัก เขาก็ตกลงและไปขอยืมพ่อแม่มาจำนวนหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้ถามหรือขัดข้องอะไร เพราะส่งเสริมให้ลูกวิ่งเต้นแบบนี้มาตั้งแต่แรก เพียงแต่พิชิตเพิ่งจะมาขอความช่วยเหลือและทำตามที่เคยแนะนำเอาในตอนนี้ เมื่อพิชิตได้นำหลวงพ่อเงินไปให้นายแล้ว สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น เพราะในการเลื่อนขั้นปีต่อมาและเขามีอาวุโสมากพอที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งสารวัตร เขาก็ต้องถูก “แป้ก” อีกเช่นเคย พอพ่อของเขาทราบเรื่องนี้ ก็รู้สึกเดือดร้อนแทนพิชิตมาก ตอนนั้นพ่อของพิชิตเกษียณแล้ว และมาเล่นการเมืองท้องถิ่นเป็นสมาชิกสภาเทศบาล พอจะรู้จักนักการเมืองในระดับชาติอยู่หลายคน จึงไปหานักการเมืองให้ช่วย นักการเมืองคนนั้นก็ไปหาหัวหน้าพรรคของเขา ขอพึ่งบารมีให้แนะนำพิชิตกับนายตำรวจระดับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ในปีต่อมาพิชิตก็ได้ขึ้นเป็นสารวัตร แต่เขาก็ต้องล้าหลังเพื่อนอีกหลาย ๆ คน เพราะบางคนนั้นขึ้นเป็นผู้กำกับการไปแล้ว ชะตาของคนเรามีลงก็ต้องมีขึ้น พิชิตเป็นสารวัตรในโรงพักตำรวจภูธรไม่ถึง 2 ปี เพื่อนที่เป็นนายเวรของเจ้านายระดับรองอธิบดีกรมตำรวจก็หาช่องทางให้เขาได้ย้ายกลับมากรุงเทพฯ แม้จะไม่ใช่โรงพักเกรดเอ แต่ก็ทำให้พิชิตพอใจพอสมควร อย่างน้อยพ่อแม่ของเขาก็มีความสุขมากขึ้น แต่การทำหน้าที่เป็นตำรวจในกรุงเทพฯนั้นกลับเจองานหนักมากกว่า ไม่เพียงแต่จะมีเจ้านายมากมายและอยู่ใกล้ตัวมาก ๆ ซึ่งต้องคอยพินอบพิเทาตลอดเวลาแล้ว ยังต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ไปเหยียบตาปลาพวกพ้องและ “ลูกค้า” ของนายทั้งหลายนั้นอีกด้วย แม้พิชิตจะระมัดระวังถึงขนาดนั้น แต่พิชิตก็พลาดจนได้เมื่อเดาใจนายผิดไป คือเขาได้ทราบว่าทางกรมตำรวจมีนโยบายที่จะจัดระเบียบสถานบันเทิงและอาบอบนวด เนื่องจากตอนนั้นโรคเอดส์ระบาดมาก และสถานอาบอบนวดมักจะมีการขายบริการทางเพศและเป็นที่เสี่ยงของการแพร่โรคเอดส์ เขาก็ออกปฏิบัติการตรวจตราตามนโยบาย ทว่าการไปตรวจของเขาเกิดเป็นข่าวไปออกโทรทัศน์ โดยที่เขาไม่ได้รู้เห็น เพราะผู้สื่อข่าวที่ติดตามไปตรวจตราเอาไปออกสื่อเอง ทำให้สถานอาบอบนวดนั้นเดือดร้อนต้องถูกปิดชั่วคราว แล้วเขาก็ถูกย้ายไปอีกโรงพักหนึ่งที่อยู่ชานเมือง กว่าจะได้กลับคืนมาในเขตชั้นในอีกก็ต้องใช้กำลังภายในเยอะมาก ทั้งเงินทองและสิ่งของ “เซ่นไหว้” พิชิตค่อย ๆ ไต่เต้ามาโดยลำดับ แต่ก็ต้องด้วยวิธีการที่ยอกย้อนซับซ้อน คือกว่าจะได้ขึ้นเป็นผู้กำกับการที่มียศเป็นพันตำรวจเอกนั้น ก็ต้องย้ายไปหาตำแหน่งที่นอกโรงพัก ไปทำงานที่หน่วยธุรการของกรมบ้าง แล้วค่อยขึ้นตำแหน่งผู้กำกับการที่นั่น เพราะมีคู่แข่งน้อยกว่า แล้วค่อยวิ่งเต้นโยกย้ายมาเป็นผู้กำกับการในโรงพักที่นครบาลนั้นต่อไป แต่พอเขาได้ย้ายเป็นผู้กำกับการในโรงพักแห่งหนึ่งแถวฝั่งธนฯ เขาก็ต้องมาเจองานหนักและเคราะห์ร้ายอีกครั้ง ทีนี้เป็นภัยที่เกิดขึ้นจากการเมือง ที่เขาไม่ค่อยให้ความสนใจ และไม่คิดว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องมาก่อน แต่จากเหตุการณ์นั้นนั่นเองที่ทำให้เขาต้องหันไปเป็นลูกน้องของนักการเมือง และทำให้เขาได้รอดพ้นภัยอันตรายต่าง ๆ มาจนถึงในวันที่เขาได้มาพบกับผมในรัฐสภา ตอนที่ผมเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติใน พ.ศ. 2550 ที่เขาได้มาช่วยงานนายตำรวจท่านหนึ่ง ที่ร่วมอยู่ในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่รัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่งตั้งขึ้นนั้นด้วย เคราะห์ร้ายอันเกิดจากนักการเมืองในช่วงนั้นของเขาก็คือ เขาต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้อง “เลือกขั้ว” ในการเมืองช่วง พ.ศ. 2548 - 2549 สงครามการเมืองระหว่างคนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองกำลังปะทุขึ้นอย่างเข้มข้น ตำรวจที่ในยุคนั้นถูกเรียกว่า “ตำรวจมะเขือเทศ” (ในขณะที่ทหารถูกเรียกว่า “ทหารแตงโม”) เพราะมีตำรวจส่วนหนึ่งไปเข้าด้วยคนเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายสนับสนับสนุนรัฐบาล แต่กระนั้นรัฐบาลที่คนเสื้อแดงสนับสนุนอยู่นั้นก็ไม่สามารถสั่งการตำรวจหรือข้าราชการต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เกิดสภาพที่เรียกว่า “ข้าราชการใส่เกียร์ว่าง” คือพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำงานให้รัฐบาล เพราะเกรงว่าถ้าเปลี่ยนรัฐบาลก็จะต้องเปลี่ยนนาย โดยเฉพาะการห้ำหั่นกันของนักการเมืองที่เปลี่ยนอำนาจกันไปมา ทำให้ข้าราชการทั้งหลายรวมถึงตำรวจต้องระมัดระวังไม่ถลำไปเข้าข้างฝ่ายใดให้เต็มตัว ส่วนมากจึง “แทงกั๊ก” หรือ “เหยียบเรือสองสามแคม” เพื่อที่จะเอาตัวให้รอดพ้นไปจากสงครามการเมืองในครั้งนั้น พิชิตถูกสั่งให้ดำเนินการปราบปรามคนเสื้อเหลือง โดยมีการยื่นข้อเสนอว่าเขาจะได้ติดยศนายพลเป็นผู้บังคับการภายหลังที่เสร็จศึก เขายินยอมไปทำงานดังกล่าว แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงในทันทีอย่างที่ถูกมอบหมาย เขานัดหมายพูดคุยกับแกนนำม็อบเสื้อเหลือง 2-3 คน โดยอธิบายถึงมาตรการที่รัฐบาลจะเข้าดำเนินการกับม็อบ และรับรองความปลอดภัยให้กับกลุ่มม็อบ ข่าวเรื่องที่เขาไปเจรจารอมชอมกับม็อบเข้าหูนายใหญ่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงถูกตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดด้วยความผิดที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับหมาย แต่เขารอดพ้นมาเพราะพอถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 ทหารก็ทำรัฐประหาร แล้วก็คำสั่งยกเลิกการสอบสวนเอาผิดเขา จากนั้นเพื่อนร่วมรุ่นในโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานของเขาคนหนึ่ง ที่ขึ้นไปถึงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ (และคงเป็นคนที่ช่วยเขาให้รอดจากการถูกสอบสวนในครั้งนั้นด้วย) ได้ย้ายให้เขามาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงที่ให้มาช่วยงานในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจที่ตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารในครั้งนั้นด้วย การปฏิรูปตำรวจในครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ล้มเหลวเหมือนกันทุก ๆ ครั้ง เป็นเพราะเหตุใด คงจะต้อง “ชำแหละ” ให้เห็นถึง “ตัวอุปสรรค” ซึ่งก็อยู่ในพวกผู้มีอำนาจและ “ตำรวจใหญ่ ๆ” นั่นเอง